ไม่แตะของหวาน ก็เสี่ยงเบาหวานได้! หมอแนะจับตา ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารประจำวัน

10 พ.ย. 2568 | 22:26 น.

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ คนไทยป่วยเบาหวานกว่า 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว รพ.วิมุต เผยแม้ไม่กินของหวานก็ยังได้รับน้ำตาลแฝงจากข้าว ผลไม้ หรือขนมปัง แนะตรวจสุขภาพทุกปี

KEY

POINTS

  • การไม่กินของหวานไม่ได้หมายความว่าจะไม่เสี่ยงเป็นเบาหวาน เนื่องจากมี ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง และผลไม้รสหวาน
  • ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นโรคเบาหวาน โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและอาจนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของเบาหวานยังรวมถึงพันธุกรรม ภาวะอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งสะท้อนว่าโรคนี้มักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุล

ความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” ก็ได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าว ขนมปัง หรือผลไม้บางชนิด ที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน 

โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา

วันนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมแนะการปรับพฤติกรรมเพื่อปิดสวิตช์ความเสี่ยงเบาหวานก่อนจะสายเกินไป

 

ไขข้อสงสัย ‘โรคเบาหวาน’ คืออะไร มีกี่ประเภท

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายเพิ่มเติมว่า "โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด 

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล

ต่อมาคือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว และสุดท้ายคือกลุ่มเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน"
 

“น้ำตาลทราย” ไม่ใช่ผู้ร้ายเพียงคนเดียว ชวนเข้าใจ “น้ำตาลแฝง-วิถีชีวิตไม่ดี” ปัจจัยเร่งโรคเบาหวาน

การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’ จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะในข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย และความเครียด

“ความเครียด” ภัยเงียบกระตุ้นเบาหวานที่หลายคนมองข้าม

ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา

โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ หากมีความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ “ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม ‘กินคลายเครียด’ โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมัน และอาจนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำ 

ซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวม ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน” 

ไม่แตะของหวาน ก็เสี่ยงเบาหวานได้! หมอแนะจับตา ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารประจำวัน

รวมสัญญาณเตือนที่ต้องไปตรวจโรคเบาหวานด่วน

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล เล่าว่า “ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”

“โรคเบาหวาน” ยิ่งตรวจพบไว ยิ่งดูแลได้ง่าย

วิธีการตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้ว แม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายถึงวิธีรักษาว่า “หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะโรคสงบ (Remission) ส่วนเบาหวานชนิดอื่นแพทย์จะดูแลตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างใกล้ชิด”

ไม่แตะของหวาน ก็เสี่ยงเบาหวานได้! หมอแนะจับตา ‘น้ำตาลแฝง’ ในอาหารประจำวัน

ปรับพฤติกรรม-ดูแลใจ ปิดสวิตช์โรคเบาหวาน

การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่าย ๆ จากปรับการกิน โดยลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดีเพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาว ที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี

“หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่า อยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปี กินและออกกำลังกายให้พอดี รู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลาย ก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราว แบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”