5 สัญญาณเตือน 'ดื้ออินซูลิน' ต้นตอโรค 'เบาหวาน' ที่ต้องรู้

14 พ.ย. 2568 | 13:15 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2568 | 13:18 น.

คนไทยป่วย “เบาหวาน” ทะลุ 6.1 ล้านคน แนะ “รู้ก่อน ปรับก่อน ป้องกันได้” พร้อม 5 สัญญาณเตือน "ดื้ออินซูลิน" ต้นตอโรค ที่ต้องเร่งปรับพฤติกรรม

KEY

POINTS

  • ภาวะดื้ออินซูลินคือจุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เกิดจากเซลล์ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนทำงานหนักขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • สัญญาณเตือนสำคัญ 5 อย่างของภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ อ้วนลงพุง, หิวบ่อยอยากของหวาน, อ่อนเพลียแม้พักผ่อนเพียงพอ, ผิวหนังคล้ำตามข้อพับ และผลตรวจสุขภาพผิดปกติ
  • สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น กินอาหารให้ถูกสัดส่วน, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ลดน้ำหนักส่วนเกิน และจัดการความเครียด

14 พฤศจิกายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น “วันเบาหวานโลก” ด้วยเป้าหมายที่ต้องการสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยเงียบของโรคเบาหวาน ที่จำนวนผู้ป่วยทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยสถิติล่าสุดในปี 2568 พบว่าประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานกว่า 6.1 ล้านคน และ ยังมีผู้เป็นเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็น “เบาหวาน” 

โรคเบาหวานมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อย ๆ สะสมจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารปริมาณมากเกินควร อ้วนลงพุง ขาดการออกกำลังกาย และเครียดเรื้อรัง ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่น ๆ

ศ.เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ และผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่เน้นให้คนกลับมาใช้บริการ แต่ Theptarin Model ต้นแบบการแพทย์เชิงป้องกันที่เน้นให้คนไทยดูแลตัวเองได้ เพราะเชื่อว่าการให้ความรู้และการปรับพฤติกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการชะลอและหยุดยั้งโรคเรื้อรัง หรือหากเป็นแล้วก็จะสามารถควบคุมโรค ชะลอภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้

“โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่สร้างภาระด้านสุขภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 45% หรือ 27.4 ล้านคน และมีคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน การเข้าใจกลไกของโรคและลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ คือ กุญแจสำคัญในการลดภาระด้านสุขภาพของประเทศ”

5 สัญญาณเตือน 'ดื้ออินซูลิน' ต้นตอโรค 'เบาหวาน' ที่ต้องรู้

จุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 คือ “ภาวะดื้ออินซูลิน” ทั้งนี้ “อินซูลิน” คือฮอร์โมนที่ช่วยนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน เซลล์จะไม่ตอบสนองต่ออินซูลินตามปกติ ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นแต่อินซูลินทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และในที่สุดกลายเป็นโรคเบาหวาน

ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว และไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่เป็นโรคเบาหวานเท่านั้น เพราะภาวะดื้ออินซูลินยังเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร่วมที่เรื้อรังอีกหลายโรค อาทิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบจากไขมัน รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด

5 สัญญาณเตือนของภาวะดื้ออินซูลิน

1. ไขมันสะสมในช่องท้อง หรือ อ้วนลงพุง ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เช่น ไขมันบางชนิดทำให้ความไวต่ออินซูลินลดลง กรดไขมันอิสระในกระแสเลือดที่นำไปตับ จะทำให้ตับสร้างน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น และดื้อต่ออินซูลิน เป็นต้น 

2. หิวบ่อย อยากกินของหวาน แม้เพิ่งรับประทานอาหาร เพราะภาวะดื้ออินซูลินทำให้กลูโคสเข้าถึงเซลล์ได้ไม่เต็มที่ ร่างกายเลยสั่งให้หิวอีก

3. นอนพอแต่ไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย เพลียเรื้อรัง เป็นผลจากน้ำตาลในเลือดที่ไม่คงที่ และอินซูลินที่ทำงานได้ไม่เต็มที่

4. ผิวคล้ำบริเวณคอ รักแร้ ข้อพับ เกิดจากอินซูลินที่สูงไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนาและคล้ำขึ้น มีลักษณะคล้ายขี้ไคล

5. ผลตรวจสุขภาพผิดปกติ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันดี (HDL) ต่ำ ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งทั้งหมดนี้มีต้นตอร่วมจากการที่อินซูลินสูงเรื้อรัง

5 สัญญาณเตือน 'ดื้ออินซูลิน' ต้นตอโรค 'เบาหวาน' ที่ต้องรู้

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้แนะแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน ดังนี้

  • กินอาหารให้ถูกสัดส่วน ลดน้ำตาลและแป้งขัดขาว กินผักใบเขียว อาหารที่มีใยอาหารสูง โปรตีนคุณภาพ และไขมันดี เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อ เช่น การเดินเร็ว หรือเวทเทรนนิ่งเบา ๆ เพราะกล้ามเนื้อจะดูดซึมกลูโคสจากเลือดไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายต้องการอินซูลินน้อยลง และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  • ลดน้ำหนักส่วนเกิน เพราะไขมันที่มากเกินไปทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลินง่าย
  • จัดการความเครียด เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเครียดเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน

โรคเบาหวานไม่ใช่โรคที่ไกลตัว การตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนับเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกัน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเริ่มมีสัญญาณเตือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองที่แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การตรวจค่า A1C เพื่อหาค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสมในเลือดตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถ้าน้ำตาลสูงกว่าปกติ ควรตรวจความทนต่อระดับน้ำตาลในเลือด (OGTT)