30 พฤษภาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงตอนหนึ่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ขอรับการจัดสรร จำนวน 1.77 ล้านบาท จากข้อกังวลกรณีเรื่องของ 30 บาทรักษาทุกที่ว่า จะล่มสลายภายใน 3 ปีนั้น
นายสมศักดิ์ ระบุว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้ คือ การแก้ปัญหาโรค NCDs ที่มีปริมาณมากซึ่งจากข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า การรับบริการผู้ป่วยนอก ปี 67 พบว่า มีจำนวนสูงถึง 220 ล้านคนครั้ง เฉลี่ยคนหนึ่งเข้าออกโรงพยาบาลมากกว่า 4 ครั้ง และเป็น NCDs ถึง 167.5 ล้านคนครั้ง หรือ คิดเป็นประมาณ 76% ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
หากเราแก้ปัญหานี้ได้ปัญหาที่มีการวิพากวิจารณ์อื่น ๆ ถือว่า เป็นปัญหาเล็กนิดเดียว โดยค่าใช้จ่ายในแต่ละปีที่ผ่านมาโดยปี 60 สูงถึง 6.21 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 48 % ของงบประมาณในภาพรวมของ 30 บาทรักษาทุกที่ ขณะที่ปี 67 สูงถึง 7.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 52% ของงบประมาณ 30 บาทรักษาทุกที่ในภาพรวม
จะเห็นได้ว่า NCDs เดินเข้าสู่หมวดของ สปสช. สูงถึง 76% ดังนั้น ถ้าหากจัดการกับเรื่องนี้ได้ ผมมั่นใจว่า ภายใน 3 ปี ถ้าสามารถจัดการหรือดำเนินการตามนี้ได้ กองทุนฯ หรือ งบประมาณของกระทรวงฯจะเหลือเฟือ โดยได้รณรงค์การนับคาร์บ ให้ อสม.อสส. เข้ามาช่วย พร้อมตอบแทน อสม. ด้วยการออกกฎหมายและให้สภาพิจารณาดำเนินการเรื่องนี้โดยไม่ได้ใช้งบประมาณในเรื่องนี้อะไรมากมาย
สิ่งหนึ่ง คือ ใน พ.ร.บ.อสม.มีเงินนอกงบประมาณที่ อสม. สามารถดำเนินการและใช้ได้ไว้สำหรับ อสม. เช่น กรณีลดโรคเบาหวาน ที่มีประมาณกว่า 6.5 ล้านคน ที่มีการจัดการในส่วนของโรงเรียนเบาหวาน เช่น จ.นครราชสีมา มีคนที่เป็น NCDs เข้ารับการดูแลสุขภาพประมาณ 5,800 คน สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งการลดยาและส่วนอื่นๆ ได้ถึง 24 ล้านบาท เป็นต้น หากสามารถทำพร้อมกันได้ทั่วประเทศจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ 2.6 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับการฟอกไต ที่วันนี้ตัวเลขขยับขึ้นมาเกือนถึง 9 หมื่นคนแล้ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการฟอกไตอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาทต่อคนต่อปี หากทำได้แค่สองรายการนี้ จะประหยัดได้ถึง 4.4 หมื่นล้านบาท โรคอื่นต่าง ๆ ที่ตามมา การแออัดที่โรงพยาบาลก็จะพอ จึงต้องทำให้ อสม.มั่นคง ที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 1.08 ล้านคน ที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องการ นับคาร์บ เพื่อเดินรณรงค์ดูแลประชาชนในการดูแลของ อสม. เองได้ถึง 30 ล้านคนในขณะนี้
นอกจากนี้ในส่วนของ อสส.ที่ยังให้ความสนใจการนับคาร์บยังน้อยมากเตรียมรณรงค์ในช่วงระยะเวลาหลังจากนี้ต่อไปเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น วันนี้การนับคาร์บและการรณรงค์ให้คนไทยผมมั่นใจว่า ภายใน 2 ปีคนป่วย NCDs เข้าสู่โรงพยาบาลจะลดน้อยลง กรณีคนที่ป่วยอยู่แล้วก็รักษากันแบบประคับประคองตามอาการกันไป พร้อมยืนยันเรื่องของ สปสช.โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการซึ่งไม่ต้องกังวลเพียงแต่ช่วงนี้อาจเป็นช่วงรอยต่อ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาแน่นอน
สำหรับประเด็นการสร้างศูนย์แพทย์แผนไทยที่ จ.สุโขทัยนั้น นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า ที่ จ.สุโขทัย เป็นลำดับที่ 6 ก่อนหน้าสร้างไป 5 เขตแล้วเพราะพื้นที่มีความพร้อม ส่วนกรณีการตั้งรางวัล 60 ล้านบาทในการใช้สมุนไพรนั้น ไม่ใช่รางวัล แต่เป็นการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ ให้เลิกใช้ยาบางส่วนที่เป็นยาตะวันตกใน 5 กลุ่มอาการ คือ อาการไอ อาการท้องอืด อาการท้องผูก ปวดกล้ามเนื้อ และริดสีดวง
สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ก็มีการประกาศพื้นที่พิเศษใน จ.บึงกาฬ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก บางพื้นที่ โดยพื้นที่เหล่านี้แพทย์จะได้ค่าตอบแทนพิเศษ ทางด้านคำถามถึงชุดตรวจยาเสพติดที่ราคาจัดซื้อแต่ละหน่วยไม่เท่ากัน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ซื้อน้อยก็ถูก ซื้อมากก็แพง
พร้อมชี้แจงกรณีที่มีการถูกเอ่ยถึงบุคคลหนึ่งว่า เป็นหลานชายว่า พ่อเขาเป็นลูกพี่ลูกน้อง ชื่อ มหาคุณ เทพสุทิน เป็นเจ้าของธุรกิจร้านตำรับไทย โดยนายมหาคุณนั้นไม่มีธุรกิจธุรกรรมอะไรกับกระทรวงสาธารณสุขแม้แต่บาทเดียวแต่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือมาตั้งแต่สมัยที่มีโควิดระบาด โดยได้แนะนำเรื่องของการใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นการแก้ปัญหาโดยบอกฟ้าทะลายโจรจะขึ้นราคา ถ้าไม่มีฟาวิพิราเวียร์ จึงแนะนำให้รีบสต๊อกฟ้าทะลายโจร ซึ่งได้นำฟ้าทะลายโจรไปให้ผู้ต้องขังในเรือนจำเชียงใหม่ 5 พันกว่าราย
นายสมศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า นายมหาคุณไม่ได้ประโยชน์จากกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด เขาเป็นเจ้าของร้านตำรับไทย เปิดธุรกิจมาแล้ว 24 ปี ทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุ 19 ปี วันนี้เขาอายุ 43 ปี มีธุรกิจตำรับไทย 80 สาขาทั่วประเทศ