โควิด-19 กลับมาระบาด จับตาสายพันธุ์ใหม่ NB.1.8.1 แพร่เชื้อเร็ว

30 พ.ค. 2568 | 03:35 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2568 | 03:39 น.

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผย องค์การอนามัยโลก ประกาศเตือนสถานการณ์โควิด-19 กลับมาระบาดหนักใน 3 ภูมิภาคทั่วโลก พร้อมจับตาสายพันธุ์ใหม่ NB.1.8.1 ชี้การฉีดวัคซีนยังสำคัญ

30 พฤษภาคม 2568 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกประกาศเตือนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กลับมาน่ากังวลอีกครั้ง โดยตรวจพบพฤติกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 3 ภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ แปซิฟิกตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก โดยมีปัจจัยสำคัญจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ NB.1.8.1 ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
 
สถานการณ์น่าจับตา อัตราผลบวกพุ่งแตะ 11%

รายงานล่าสุดจาก WHO ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ระบุว่า ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 การระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 ทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการตรวจพบเชื้อ (test positivity rate) จากสถานเฝ้าระวังพุ่งสูงถึง 11% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยพบเห็นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567

ตัวเลขนี้สะท้อนการกลับมาระบาดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะใน 73 ประเทศที่รายงานข้อมูลเข้ามา ขณะที่ภูมิภาคแอฟริกา ยุโรป และอเมริกา ยังคงมีระดับการแพร่ระบาดต่ำ โดยมีอัตราผลบวกอยู่ที่ประมาณ 2-3% อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ในแถบแคริบเบียนและแอนเดียนในภูมิภาคอเมริกาเริ่มมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน

รู้จัก โอมิครอน NB.1.8.1 สายพันธุ์ย่อยใหม่จาก JN.1 ที่ต้องเฝ้าระวัง

เชื้อโควิด-19 ยังคงมีการพัฒนาและกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 พบการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ที่ระบาดหลัก โอมิครอนสายพันธุ์ LP.8.1 ที่เคยแพร่หลายเริ่มลดลง และถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์ NB.1.8.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง (Variant Under Monitoring - VUM) และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลล่าสุด ณ กลางเดือนพฤษภาคม 2568 ชี้ว่า NB.1.8.1 คิดเป็นสัดส่วนถึง 10.7% ของลำดับพันธุกรรมเชื้อทั่วโลกที่มีอยู่ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 2.5% เมื่อสี่สัปดาห์ก่อนหน้า สายพันธุ์ NB.1.8.1 นี้เป็นสายพันธุ์ย่อยของ XDV.1.5.1 (ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก JN.1) โดยพบตัวอย่างแรกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568

สิ่งที่น่ากังวล คือ NB.1.8.1 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมหลายตำแหน่งบนโปรตีนหนาม (spike mutations) ได้แก่ T22N, F59S, G184S, A435S, V445H และ T478I จากการศึกษาพบว่า:

การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 445 (V445H) อาจเพิ่มความสามารถในการจับกับตัวรับ ACE2 ของเซลล์มนุษย์ ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น

การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 435 (A435S) อาจลดประสิทธิภาพของแอนติบอดีบางชนิดในการลบล้างฤทธิ์เชื้อ

การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 478 (T478I) อาจช่วยให้เชื้อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากแอนติบอดีได้ดีขึ้น

แม้ว่า NB.1.8.1 จะยังคงมีสัดส่วนการระบาดที่ต่ำ แต่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (จาก 8.9% เป็น 11.7%) อเมริกา (จาก 1.6% เป็น 4.9%) และยุโรป (จาก 1.0% เป็น 6.0%) เป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบลำดับพันธุกรรมของ NB.1.8.1 เพียง 5 ตัวอย่าง และยังไม่พบในแอฟริกาหรือเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก
 
ฤดูกาลการระบาดยังไม่ชัดเจน ข้อมูลผู้ป่วยหนักมีจำกัด

WHO ระบุว่า แม้การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมเชื้อจะคล้ายคลึงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ยังคงไม่มีรูปแบบฤดูกาลที่ชัดเจนสำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ การรายงานข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู และผู้เสียชีวิต ยังคงมีจำกัดมากจากประเทศในภูมิภาคที่กำลังเผชิญกับการระบาดเพิ่มสูง ทำให้ WHO ไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขได้อย่างเต็มที่

สถานการณ์ในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก: อัตราผลบวกเพิ่มจาก 4% เป็น 17% ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนเมษายน ก่อนจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 15% ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ประเทศที่พบการระบาดเพิ่มขึ้น ได้แก่ อียิปต์ คูเวต โอมาน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และปากีสถาน

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: อัตราผลบวกเพิ่มจาก 0.5% ในช่วงต้นเดือนเมษายน เป็น 5% ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ประเทศที่พบการระบาดเพิ่มขึ้นชัดเจนคือ มัลดีฟส์และไทย โดยรายงานระดับชาติของอินเดียและไทยยังระบุถึงการตรวจพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 16-20 ของปี

แปซิฟิกตะวันตก: อัตราผลบวกเพิ่มจาก 5% ในช่วงปลายเดือนมีนาคม เป็น 11% ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ประเทศและพื้นที่ที่พบการระบาดเพิ่มขึ้น ได้แก่ กัมพูชา จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์

การฉีดวัคซีนยังคงสำคัญ แม้อัตราการฉีดวัคซีนยังต่ำในกลุ่มเสี่ยง

ข้อมูลล่าสุด (มกราคม - กันยายน 2567) พบว่าอัตราการรับวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มเสี่ยงทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยผู้สูงอายุได้รับวัคซีนเพียง 1.68% และบุคลากรทางการแพทย์เพียง 0.96% ในปี 2567 (ถึง 30 ก.ย.) อย่างไรก็ตาม WHO ยืนยันว่าวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิต 

คณะที่ปรึกษาทางเทคนิคด้านองค์ประกอบของวัคซีนโควิด-19 (TAG-CO-VAC) ของ WHO แนะนำในเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า วัคซีนชนิด Monovalent ที่มุ่งเป้าไปที่สายพันธุ์ JN.1 หรือ KP.2 ยังคงเหมาะสม และวัคซีนที่มุ่งเป้าสายพันธุ์ LP.8.1 ก็สามารถใช้เป็นทางเลือกได้ สิ่งสำคัญคือไม่ควรชะลอการรับวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง

คำแนะนำจาก WHO

แม้ว่าความเสี่ยงโดยรวมต่อสาธารณสุขโลกจากโควิด-19 จะยังคงประเมินว่าอยู่ในระดับสูง แต่ WHO ประเมินว่าสายพันธุ์ที่เฝ้าระวังอย่าง LP.8.1 และ NB.1.8.1 ในปัจจุบันยังไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นที่หมุนเวียนอยู่

WHO ยังคงแนะนำให้ทุกประเทศสมาชิก:

1.  ใช้แนวทางการจัดการโควิด-19 แบบบูรณาการตามความเสี่ยง และผนวกเข้ากับโครงการป้องกันและควบคุมโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ

2.  ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการเฝ้าระวัง การคุ้มครองชุมชน การดูแลทางคลินิก การเข้าถึงและการส่งมอบมาตรการทางการแพทย์ และการประสานงาน

3.  คงไว้ซึ่งระบบเฝ้าระวังที่หลากหลาย ทั้งการเฝ้าระวังเชิงรุก การตรวจหาสายพันธุ์ และการติดตามจากน้ำเสีย

4.  สร้างความมั่นใจในการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

5.  เสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพเพื่อการจัดการทางคลินิกที่มีคุณภาพสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 และภาวะลองโควิด

6.  เพิ่มการสื่อสารความเสี่ยงและการมีส่วนร่วมของชุมชน

7.  ไม่แนะนำให้ใช้ข้อจำกัดด้านการเดินทางหรือการค้า

WHO เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวตามแนวโน้มทางระบาดวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป และการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การจัดการโควิด-19 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบสำหรับรับมือกับภัยคุกคามจากโรคทางเดินหายใจทั้งหมด