29 พฤษภาคม 2568 นายแพทย์ยงยศธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง (Variants of Interest - VOI) อย่าง JN.1* และ สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variants under Monitoring - VUM) อีก 6 สายพันธุ์ ได้แก่ KP.3*, KP.3.1.1*, LB.1*, XEC*, LP.8.1* และ NB.1.8.1 ทั้งนี้ สัดส่วนของสายพันธุ์โอมิครอนทั่วโลกอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 27 เมษายน 2568 พบว่า
- LP.8.1* มีสัดส่วนสูงที่สุดในสัปดาห์ที่ 14 (42.0%) แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์ที่ 17 (39.0%)
- NB.1.8.1 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 14 (2.5%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (10.7%)
- XEC* มีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ 14 (22.3%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (17.8%)
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนมีต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ลูกผสม XDV.1.5.1 โดยพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ปัจจุบัน NB.1.8.1 พบใน 22 ประเทศทั่วโลก จำนวนลำดับพันธุกรรมที่พบ 518 ราย ยังน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
สิ่งที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนของ NB.1.8.1 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า สายพันธุ์นี้กำลังแพร่หลายมากขึ้นและเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง
สิ่งที่ทำให้ NB.1.8.1 น่าจับตา คือ มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนามหลายจุดที่เพิ่มเติมจากสายพันธุ์ JN.1 รวม 7 ตำแหน่ง ได้แก่ S:T22N, S:F59S, S:G184S, S:A435S, S:F456L, S:T478I, S:Q493E ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแพร่กระจายและหลบหลีกภูมิคุ้มกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีข้อมูลว่า NB.1.8.1 อาจจะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นและหลบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย โดยผลจากการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 พบ สายพันธุ์โอมิครอน JN.1*, KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, NB.1.8.1, Other, และ XEC*
ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ NB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ขณะที่สายพันธุ์ XEC* และ JN.1* มีสัดส่วนลดลง
- NB.1.8.1: ไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในเดือนมกราคมถึงมีนาคม แต่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเมษายน (43 ราย) และพฤษภาคม (167 ราย) จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 210 ราย
- JN.1*: พบมากที่สุดในเดือนมกราคม (17 ราย) แต่จำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียง 5 รายในเดือนพฤษภาคม
- XEC*: จำนวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างคงที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนแต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคม
- สายพันธุ์อื่น ๆ: (KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, Other) มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อย
"กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยรวบรวมตัวอย่างจากทั่วประเทศตรวจหาสารพันธุกรรมถอดรหัสจีโนมและเผยแพร่ข้อมูลผ่าน GISAID อย่างสม่ำเสมอการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ช่วยให้ห้องปฏิบัติการพร้อมรับมือการระบาดในอนาคต
สิ่งสำคัญ คือ การป้องกันตนเองสวมหน้ากากล้างมือบ่อย ๆ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและสุขภาพส่วนบุคคลไม่ใช่จำเพาะกับสายพันธุ์เท่านั้นขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด" นายแพทย์ยงยศ กล่าวทิ้งท้าย