สมศักดิ์ แจง 'วีโต้' มติแพทยสภาปมรักษา 'ทักษิณ' ใช้อำนาจตามกฎหมาย

30 พ.ค. 2568 | 13:00 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2568 | 13:12 น.

'สมศักดิ์' แจงสาเหตุ 'วีโต้' มติแพทยสภาลงโทษหมอปมรักษา "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ระบุ ยกโทษหมอทั้งหมด ยันทำตามมาตรฐานบทลงโทษที่มีอยู่ ย้ำชัดไม่มีใบสั่ง

30 พฤษภาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจงประเด็น "วีโต้" มติแพทยสภากรณีลงโทษ 3 แพทย์ปมรักษา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ว่า ได้ส่งความเห็นในฐานะสภานายกพิเศษเกี่ยวกับการลงโทษแพทย์ที่ให้แก่แพทยสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนแพทย์  4 คน โดย 1 คนถูกยกคำร้อง และอีก 3 รายถูกตักเตือนและพักใช้ใบอนุญาต 

สำหรับขั้นตอนการพิจารณาของแพทยสภา จะทำหน้าที่เป็นขั้นเป็นตอน โดยมีคณะอนุกรรมการ 3 ชุด และคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่พิจารณา โดยประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการจริยธรรม 2.คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง 3.คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม และ 4.คณะกรรมการแพทยสภา เป็นผู้พิจารณา

โดยพิจารณาผู้ถูกร้องที่ 1 คือ นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้ถูกร้องที่ 2 คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ผู้ถูกร้องที่ 3 คือ พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ และผู้ถูกร้องที่ 4 คือ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  ซึ่งขั้นตอนการพิจารณาคณะอนุกรรมการจริยธรรม รับเรื่องและระบุว่า มีมูลจึงส่งเรื่องไปยังคณะอนุกรรมการที่ 2 ซึ่งมีบทบาทในการลงโทษ คือ คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พิจารณาแล้วว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความผิด ผู้ถูกร้องที่ 2 มีความผิดให้ว่ากล่าวตักเตือน ผู้ถูกร้องที่ 3 มีความผิดคือ ภาคทัณฑ์ และผู้ถูกร้องที่ 4 ไม่มีความผิด

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ได้ใช้แนวทางส่วนใหญ่จากอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแต่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมซึ่งได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมไป 3ครั้งแต่ไม่ได้รับข้อมูลกลับมา จึงจำเป็นต้องพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ คือ ข้อมูลจากคณะอนุฯสอบสวนข้อเท็จจริง ข้อมูลที่พิจารณา พบว่า คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม มีการเพิ่มโทษขึ้นไป ซึ่งประชุมในวันที่ 1 พ.ค. ต่อมาอีก 7 วัน คณะกรรมการแพทยสภาก็ลงความเห็นตามคณะอนุฯ กลั่นกรองจริยธรรม 

การทำงานของคณะอนุฯสอบสวนข้อเท็จจริง ทำงาน 4 เดือนจึงพิจารณาตัดสินบทลงโทษแต่เท่าที่ทราบมาว่า คณะอนุฯกลั่นกรองจริยธรรมใช้เวลาสั้น ๆ ไม่ถึง 1 วัน มีการเพิ่มโทษ จึงต้องเรียนในข้อเท็จจริงว่า ตนจึงได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการแพทยสภา โดยพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่แต่เป็นไปตามมาตรา 25 พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม  ดังนี้

 

ผู้ถูกร้องที่ 1 ตนเห็นชอบตามมติแพทยสภา

ผู้ถูกร้องที่ 2 การอนุญาตเรื่องการใช้ใบส่งตัวเพื่อประกอบในการส่งตัวผู้ป่วยนั้น ไม่ได้มีผลต่อการส่งตัว คือ ผู้ถูกร้องมีข้อมูลในการตรวจผู้ต้องขังในเวลากลางวันและเก็บข้อมูลไว้ ซึ่งแพทย์ไม่มีอำนาจในการส่งตัวเพราะการส่งตัวเป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการเรือนจำ ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นกฎหมายราชทัณฑ์ ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา เมื่อเราเห็นว่า การดำเนินการตรงนี้ไม่ได้นำมาพิจารณาครบถ้วน จึงเห็นสมควรว่า ต้องยกประโยชน์ให้ผู้ร้อง

ผู้ถูกร้องที่ 3 มีการให้สัมภาษณ์ 2 ครั้งไม่ได้มีการพูดคำว่า "ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ" ซึ่งพยายามหาข้อมูลก็ไม่มีคำพูดนี้ ท่านให้สัมภาษณ์เพียงว่า "อาการหนักน่าเป็นห่วง" และการสัมภาษณ์นั้นเป็นการสัมภาษณ์แบบไม่ทันตั้งตัวและท่านเป็นแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้รับรายงานมาเท่านั้น ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งที่ 1 ในวันที่  23 ส.ค. 2566 ท่านสัมภาษณ์ตอนเช้าแต่ได้ข้อมูลช่วงกลางคืนและข้อมูลที่นำมาเปรียบเทียบก็เป็นข้อมูลคนละช่วงกัน และส่วนที่ 2 คำพูดในวันที่ 25 ส.ค.2566 ไม่มีคำพูดว่า "ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ" ซึ่งน่าเสียดายที่ตนไม่ได้มีข้อมูลจากอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมของแพทยสภาจึงพิจารณาตามที่มี ซึ่งเห็นว่า ควรยกประโยชน์ผู้ถูกร้อง

ผู้ถูกร้องที่ 4 การเขียนแสดงความเห็นแพทย์ เขียนเพียงว่า การรักษายังไม่เสร็จสิ้น ระบุว่า รักษาในรพ.แต่ไม่ระบุว่า รพ.ไหน ซึ่งความเห็นแพทย์ถือเป็นดุลยพินิจของแพทย์แต่ละคนซึ่งผู้ถูกร้องที่ 4 รับทราบว่า ผู้ป่วยมีโรคทั้งหมด 14 โรค รู้ถึงความซับซ้อนการรักษาอาจแตกต่างจากราชวิทยาลัยที่รับรู้เพียงบางโรค การแสดงความเห็นแพทย์จึงไม่อาจเหมือนกันทั้งหมด ประกอบกับ คณะอนุฯ ซึ่งเป็นชุดที่ 2 คือ อนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สอบสวนไปก่อนซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่มีความผิด ซึ่งตนเห็นตามอนุชุดที่ 2 ว่า ไม่มีความผิด    

เมื่อถามกรณีการเพิ่มโทษของอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม  นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่มีข้อมูลรายละเอียดแต่เมื่อมีการพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม และคณะกรรมการแพทยสภาเห็นตามนั้น อย่างไรก็ตาม ตนเห็นแต่ว่า มีมติตามนั้น แต่ของคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีรายละเอียด

"เห็นได้ว่า ข้อมูลอันเดียวกันแต่มาตรฐานในการชี้ หรือลงโทษ หากปล่อยไปโดยสร้างมาตรฐานใหม่ ผมเห็นว่า แนวทางของการลงโทษแพทย์ทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติใหม่ อัตราโทษสร้างขึ้นใหม่ก็จะเดือดร้อนกันไปหมด  ผมไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นได้เว้นแต่แนวทางเหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิม ผมไม่อยากให้มีมาตรฐานใหม่ ดังนั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติแล้วก็จะไม่มีอะไรออกมาโวยวาย หรือ อย่างไร ทั้งนี้ เมื่อมีคนมาขอความเป็นธรรม เราก็ต้องพิจารณาและข้อมูลที่เห็นจากคณะอนุกรรมการลั่นกรองฯ ก็ไม่ได้ให้มา" 

ต่อข้อซักถามที่ว่า กรณีข้อมูลที่มีอยู่มีของอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมแค่ไหนนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อนุกรรมการกลั่นกรองฯ มีความเห็นแบบนี้แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ข้อมูลอะไร เราก็รู้แต่ว่าถูกเปลี่ยนอัตราโทษ แนวทางการพิจารณาก็ต้องผ่านทางอนุสอบสวนฯ ใช้เวลาพิจารณา 4 เดือน แต่อนุกรรมการกลั่นกรองใช้เวลาไม่นาน

เมื่อถามว่า จากนี้พร้อมรับแรงกระแทกหรือไม่ เพราะถูกมองว่าการวีโต้ อาจเป็นการเปิดศึกแพทยสภา และแพทย์หลายคนทั่วประเทศ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่จริงหรอก ตนเชื่อว่าแพทย์ทั่วประเทศ ที่ยังอยู่ในวิชาชีพนี้อยู่ เขารู้ว่า ตนออกมาปกป้องและให้ทำตามอัตราโทษที่เคยทำกันมาอยู่ตนแค่ทำให้ทิศทางอัตราโทษยังคงเหมือนเดิม เหมือนที่เคยใช้กันมา ไม่ใช่มาเปลี่ยนแปลงโทษ หากเขาไม่มีอาชีพอื่นและตกงานจะทำอย่างไร อะไรที่มากระทบ ตนก็พร้อม ไม่ตื่นเต้น

ต่อข้อซักถามทีว่า อนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมพิจารณาเวลาสั้น ๆ แต่กรณีท่านตั้งทีมที่ปรึกษามาช่วยพิจารณาก็ใช้เวลาสั้นเช่นกันและท่านก็เชื่อทีมที่ปรึกษา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เชื่อคณะที่ปรึกษาที่ตั้งขึ้นมาแต่ตนดูข้อมูลจากคณะกรรมการสอบสวนฯ ชุดที่ 2 ของแพทยสภา ซึ่งพิจารณาใช้เวลา 4 เดือนและยกประโยชน์ผู้ถูกร้องที่ 1 และที่ 4 ตนก็นำมาพิจารณารายละเอียด อย่างผู้ถูกร้องที่ 4 เขาดูข้อมูลว่า ผู้ป่วยมี 14 โรคแต่ผู้พิจารณาอาจมีข้อมูลไม่เท่าเทียมจึงมองว่า อาจพิจารณาแตกต่างกันได้

ถามว่า สังคมมองว่าการวีโต้มติแพทยสภา ค้านสายตาและอาจมีใบสั่งหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การวีโต้ หากไม่มีข้อมูล จะวีโต้ไม่ได้ เราตัดสินปัญหาจากข้อมูลที่มีอยู่ ต้องไปดูว่า ข้อมูลที่ได้มาครบถ้วนแค่ไหน เราตัดสินบนข้อมูลเพราะจะไปหาอะไรมาใหม่ไม่ได้ อำนาจหน้าที่ของสภานายกพิเศษ ต้องดูข้อมูลทั้งหมด ส่วนการตั้งคณะกรรมการฯ มาดูไม่กี่วัน ก็ต้องบอกว่า ตามกฎหมายตนมีหน้าที่แค่ 15 วัน แต่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม ใช้เวลาไม่ถึงวัน พร้อมยืนยันว่า เมื่อถามย้ำว่า ไม่มีใบสั่งแต่อย่างใด