KEY
POINTS
กระแสเงินลงทุนต่างชาติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. - ก.ย.) โดยรวมยังคงสถานะขายสุทธิ กว่า 96,236.78 ล้านบาท จากการย้อนดูสถิติมูลค่าการซื้อขายของต่างชาติพบว่า มีเพียงเดือน ก.ค. เท่านั้นที่พลิกกลับมามีสถานะซื้อสุทธิ 16,142.32 ล้านบาท
หากย้อนดูยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาค ณ ต้นเดือนส.ค. (ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยบล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)) พบว่า มีเพียงตลาดหุ้นไต้หวันเท่านั้นที่มีสถานะซื้อสุทธิ 4,554 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 147,702 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 ต.ค. 68 ที่ระดับ 32.43 บาท/ดอลลาร์)
ในขณะที่ ตลาดหุ้นอินเดีย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ มีสถานะขายสุทธิ 11,721 , 5,070 , 3,714 , 1,776 , 1,700 และ 625 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 380,153 , 164,437 , 120,458 , 57,601 , 55,136 และ 20,270 ล้านบาท ตามลำดับ
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่ารวมกว่า 96,000 ล้านบาทนั้น มองว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลไปลงทุนยังหุ้นกลุ่ม Tech ในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้ และไต้หวัน รวมถึงไหลไปยังตลาด Emerging Markets อย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ทั้งนี้ มองว่าหลังจากนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนจากการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงปลายปี เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหุ้น Tech ได้รับความสนใจมาก ทำให้ราคาหุ้นโตเด่าขึ้นมามาก และอีกความน่าสนใจคือ หุ้น TECH ค่อนข้างทนทานต่อเศรษฐกิจสูง หนี้น้อย ภาระต้นทุนต่ำ มีกระแสเงินสดและสภาพคล่องมาก
แต่หุ้น TECH ในสหรัฐฯ อาจไม่ได้เป็นภาพที่สะท้อนต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากบริษัทที่เป็นท้องถิ่นนั้นคิดเป็นเพียงสัดส่วน 20 - 30% เท่านั้น ที่เหลือเป็นของประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและทำให้เงินไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม TECH เป็นหลัก
จากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติในช่วยปลายปี 2568 นี้ อาจเป็นการขายหุ้น TECH ออก และหมุนเวียนไปลงทุนยังกลุ่มอื่นๆ แทน ทั้งนี้ ก็อาจต้องให้การจับตารอดู เพราะอาจส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมของทั่วโลก และไทยอาจได้แรงสั่นสะเทือนกดดันดัชนีย่อตัวลงได้ถึง 100 จุด
สำหรับแนวโน้มเม็ดเงินทุนต่างชาติในช่วงไตรมาส 4/2568 ภาพยังเป็นบวก เนื่องจากตลาดมีการคาดการณ์กันว่าในช่วงที่เหลือของปี 2568 และในปี 2569 มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณ 4 ครั้ง
ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ แคบลง ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงุทนจะไหลออกมายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งรวมไปถึงไทยด้วย
ในขณะที่ค่าเงินนั้น มองว่าในช่วงระยะสั้นเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง หลังจากที่แข็งค่ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมองค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2568 อยู่ในช่วงระหว่าง 31 - 33 บาทต่อดอลลาร์
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ให้มุมมองว่า โอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/2568 ก็พอมีลุ้นอยู่บ้าง
หลักๆ เป็นผลมาจากสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวที่ดี แม้ GDP ในไตรมาส 4/2568อาจแผ่วลงกว่า แต่ยังมีอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยวและกำลังซื้อในช่วงปลายปีเข้ามาหนุน
เพียงแต่ว่าด้วยเงินบาทที่แข็งค่า และในระยะสั้นเริ่มเห็นสัญญาณแปลกๆ เพราะแม้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง แต่เงินบาทกลับไม่กล้าแข็งค่า โดยอยู่ในระดับช่วงระหว่าง 32.50 - 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งตามความจริงแล้วควรแข็งค่า
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินทุนต่างชาติที่อาจไหลกลับเข้ามายังตลาดทุนไทยได้ไม่เต็มที่นักเพราะเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในปีนี้ความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ก็ยังมีลุ้นในปี 2569 เม็ดเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนยังตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น