กูรูชี้ตราสารหนี้ไทยยังน่าสนใจ เผย 9 เดือนแรก ทุนต่างชาติไหลเข้า 3.2 หมื่นล้าน

25 ก.ย. 2568 | 00:00 น.

โบรกส่องตลาดตราสารหนี้ช่วงที่เหลือปี 68 Yield Curve ทรงตัว-ลงเล็กน้อย แนะกลยุทธ์ Selective Buy พร้อมเผย 9 เดือนแรก ทุนเงินต่างชาติไหลเข้าราว 3.2 หมื่นล้าน ไม่มีนัยสำคัญกดดันบาทแข็งค่า

นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ว่า คาดการณ์เส้นผลตอบแทน (Yield Curve) จะอยู่ในระดับทรงตัว หรืออาจปรับตัวลดลงเล็กน้อย

หลักๆ เป็นผลมาจากโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยลงอีกประมาณ 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้ว่าในช่วงเดือนกันยายนเส้น Yield Curve จะลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำสุดใหม่ (New low) ของปีนี้แล้ว แต่ก็มีโอกาสที่จะเห็นแรง Sell on fact ออกมาได้

ประกอบกับด้วยตลาดพันธบัตรรัฐบาลของปีงบประมาณงบเก่า (2568) กำลังจะสิ้นสุดลงในสิ้นเดือนกันยายนนี้ และเริ่มต้นพันธบัตรรัฐบาลของงบปี 2569 จะเริ่มต้นขึ้นในต้นเดือนตุลาคม แต่ด้วยซัพพลายที่มีเพียง 2 รุ่นเท่านั้น โดยมีอายุไม่เกิน 50 ปี คาดว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะพยายามรักษาอายุให้อยู่ในระดับเฉลี่ย 50 ปี

ในขณะที่การออกหุ้นกู้ของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่ายังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจไม่ได้หวือหวามากนัก และอัตราดอกเบี้ยก็อาจไม่ได้สูงมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีข่าวเชิงลบเรื่องการขยายอายุหุ้นกู้ไปมาก ทำให้นักลงทุนให้ความระมัดระวังในการเลือกลงทุนเพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งบริษัทที่กำลังพิจารณาแก่งเงินทุนใช้สำหรับธุรกิจก็เริ่มคิดหนักมากขึ้น และอาจไปให้ความสนใจในการสรรหาแหล่งเงินทุนอื่นๆ แทนการออกหุ้นกู้ เพราะมองว่าด้วยดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลงในปัจจุบันอาจช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินได้มากกว่า

ดังนั้น จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าวัตถุประสงค์เพื่อ trading แนะให้ซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ แต่ถ้าวัตถุประสงค์ Buy and Hold แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่เป็นกลุ่ม Investment Grade โดยมีอันดับเรตติ้งแบบ BBB- ขึ้นไป มองว่ายังคงมีความน่าสนใจอยู่

สำหรับหุ้นกู้ออกใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ได้แก่ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE c]t บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เป็นต้น

เนื่องจากหุ้นกู้จากเหล่าหลักทรัพย์ดังกล่าวค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือ ผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดี แมีอัตราการเติบโตที่เสถียรภาพ ทำให้การออกหุ้นกู้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง

ทุนต่างชาติไหลเข้า 3.2 หมื่นล.

ส่วนประเด็นกรณีมีเงินทุนปริศนาไหลเข้าประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งถูกจับตาเป็นเงินสีเทา และธุรกรรมจะไหลเข้ามายังตลาดตราดตราสารหนี้ด้วยหรือไม่นั้น มองว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากตัวเลขเงินลงทุนของต่างชาตินับตั้งแต่เดือนมกราคมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน (9 เดือนแรกปี 2568) มูลค่ารวมอยู่ที่ราว 32,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หาเทียบมูลค่าการลงทุนของต่างชาติในช่วงเดือนกันยายน 2568 พบว่า มีสถานะซื้อสุทธิราว 8,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังไม่สูงมากนัก และลดลงเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่มีการซื้อสุทธิประมาณ 10,000 ล้านบาท

มองว่ามูลค่าเม็ดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามายังตลาดตราสารหนี้มีน้อยมาก และไม่ได้มีนัยสำคัญจนไปกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ ด้วยดุลการชำระเงินของไทยที่พุ่งขึ้นเป็น 5.3 แสนล้านบาท มองว่าอาจเป็นเงินทุนที่ย้ายไปอยู่แหล่งอื่นมากกว่าตราสารหนี้และตลาดทุน