ไขปริศนาหุ้น KTC-BEC-TPS-XPG กอดคอร่วงติดฟลอร์ พบ 'มงคล-ฉันทนา' ถือหุ้นใหญ่

24 มิ.ย. 2568 | 08:07 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2568 | 08:07 น.

ปริศนาหุ้น KTC-BEC-TPS-XPG ดิ่งติดฟลอร์ในวันเดียว! พบ "มงคล ประกิตชัยวัฒนา" และ "ฉันทนา จิรัฐิติภัทร์" ถือหุ้นใหญ่ นักวิเคราะห์คาดอาจถูกบังคับขาย หลังจากมีสัดส่วนหุ้นที่วางค้ำประกันบัญชีมารจิ้นสูง

จากกรณีที่ราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ร่วงติดฟลอร์ไปเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะถูกบังคับขาย หรือ Force Sell หลังจากมีสัดส่วนหุ้นที่วางค้ำประกันบัญชีมารจิ้นสูง

จากการตรวจสอบข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTC ที่เป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่นิติบุคคล จำนวน 2 ราย ที่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกบังคับขาย ได้แก่ นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา และ นางสาวฉันทนา จิรัฐิติภัทร์ (ภรรยานาย มงคล ประกิตชัยวัฒนา)

และจากการรวบรวมข้อมูล พบว่า "นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา" เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 4 บริษัท มูลค่ารวมกว่า 9,008.92 ล้านบาท (คิดจากราคาหุ้น วันที่ 24 มิ.ย. 68 ณ เวลา 14.00 น.) ประกอบด้วย

  • ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 7 BEC จำนวน 91,682,000 หุ้น คิดเป็น 4.58% มูลค่า 242,040,480 บาท
  • ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 2 KTC จำนวน 327,466,600 หุ้น คิดเป็น 12.70% มูลค่า 8,268,531,650 บาท
  • ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 2 TPS จำนวน 69,654,800 หุ้น คิดเป็น 16.60% มูลค่า 172,743,904 บาท
  • ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 3 XPG จำนวน 651,209,995 หุ้น คิดเป็น 6.09% มูลค่า 325,604,997.5 บาท
     

ขณะที่การถือครองหุ้น "นางสาวฉันทนา จิรัฐิติภัทร์" พบว่า เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 บริษัท มูลค่ารวม 3,581.60 ล้านบาท (คิดจากราคาหุ้น วันที่ 24 มิ.ย. 68 ณ เวลา 14.00 น.) ประกอบด้วย

ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 6 BEC จำนวน 134,250,000 หุ้น คิดเป็น 6.71% มูลค่า 354,420,000 บาท
ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 3 KTC จำนวน 127,563,900 หุ้น คิดเป็น 4.95% มูลค่า 3,220,988,475 บาท
ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 22 TPS จำนวน 2,500,000 หุ้น คิดเป็น 0.60% มูลค่า 6,200,000 บาท

มากไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 68 ราคาหุ้นทั้ง 4 บริษัท พร้อมใจกันร่วงติดฟลอร์ทั้งหมด 

  • XPG ปิดที่ 0.60 บาท ลดลง 0.11 บาท หรือลดลง 15.49% 
  • BEC ปิดที่ 3.10 บาท ลดลง 0.56 บาท หรือลดลง 15.30% 
  • TPS ปิดที่ 2.78 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือลดลง 15.24%
  • KTC ปิดที่ 29.50 บาท ลดลง 5.25 บาท หรือลดลง 15.11% 

นอกเหนือจากนี้ จากการรวมรวบข้อมูลของ ตลท. เกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ในเดือน พ.ค. 68 พบว่า 

  • KTC มีหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น จำนวน 420,204,381 หุ้น คิดเป็น 16.30% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
  • XPG หลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น จำนวน 1,443,799,646 หุ้น คิดเป็น 13.49% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
  • BEC หลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น จำนวน 320,465,634 หุ้น คิดเป็น 16.02% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
  • TPS หลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น จำนวน 8,074,522 หุ้น คิดเป็น 1.92% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนจากบริษัทว่าสาเหตุของการดิ่งฟลอร์ในครั้งนี้จะมาจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกบังคับขายตามที่มีการคาดการณ์กันหรือไม่ ในช่วงระหว่างนี้อาจทำได้แต่ตั้งข้อสังเกต เพราะทุกอย่างดูเชื่อมโยงกันไปหมด

เปิดประวัติ "มงคล ประกิตชัยวัฒนา"

มงคล ประกิตชัยวัฒนา เป็นอดีตนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันยึดอาชีพนักลงทุน เขาเข้ามาถือหุ้น KTC ตั้งแต่ปี 55 จำนวน 29.6 ล้านหุ้น และเพิ่มเป็น 33.8 ล้านหุ้นในปี 56 ก่อนที่ปี 57 จะลดจำนวนลงมาเหลือ 17.20 ล้านหุ้น ก่อนมาเพิ่มเป็น 20.8 ล้านหุ้นในปี 58 ขยับเป็น 25.9 ล้านหุ้นในปี 59 และเพิ่มเป็น 42.7 ล้านหุ้นในปี 60

ในปี 2561 KTC แตกพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้น KTC ที่ มงคล ประกิตชัยวัฒนา ถืออยู่เพิ่มเป็น 10 เท่า ซึ่งระหว่างทาง 62 - 63 เขามีการซื้อๆ ขายๆ หุ้นออกมาบ้าง โดยวันปิดสมุดทะเบียนล่าสุดเมื่อ 25 พ.ค. 63 เขาถือจำนวน 388,669,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.07%

ในปี 64 มงคล ประกิตชัยวัฒนา มีมูลค่าถือครองหุ้นรวม 28,888 ล้านบาท  ณ วันที่ 20 ม.ค. 64โดยถือใน 4 หลักทรัพย์คือ บมจ.บัตรกรุงไทย( KTC ) ถือ 15.07%, บมจ.ดู เดย์ ดรีม ( DDD) ถือ 9.14%, บมจ.เถ้าแก่น้อย ฯ (TKN) ถือ 1.68% และ บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) ถือ 4.09%

โดยหุ้นที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่น มาจากหุ้น KTC ที่ "มงคล ประกิตชัยวัฒนา" ถืออยู่จำนวน 388,669,300 หุ้น เฉพาะในช่วง 3 เดือน ราคาหุ้น KTC ปรับเพิ่มขึ้น 107% จาก 34.75 บาท เป็น 72.00 บาท (ปรับขึ้นสูงสุดที่ 90.25 บาท ณ 11 ม.ค. 64 ) และเทียบช่วงเดียวกัน 1 ปี ราคาปรับเพิ่มกว่า 70%