KEY
POINTS
กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งประไทยก็เป็น 1 ในนั้น
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ยอมรับว่าสถานการณ์ต่างๆ คาดเดาได้ยากว่าจะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป เพราะทรัมป์เองก็มีความไม่แน่นอนอยู่มาก
แม้ว่าสหรัฐฯ จะระงับการขึ้นภาษีตอบโต้ชั่วคราว 90 วันกับ 75 ประเทศไปแล้ว แต่ก็ต้องรอดูว่าการเจรจาของรัฐบาลไทยนั้นจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
เมื่อประเด็นดังกล่าวยังไม่ถูกคลี่คลายแน่นอนว่าก็มีผลต่อความกังวลต่อการลงทุน ไม่ว่าจะผู้ประกอบการไทยหรือต่างชาติ ซึ่งทาง WHA ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการมีการติดต่อสอบถามกับทางลูกค้า รวมถึงทำแบบสำรวจสอบถามลูกค้า เพื่อประเมินสถานการณ์
การทำแบบสำรวจสอบถามจากลูกค้าทั้งหมด 200 ราย มูลค่าการลงทุนตั้งแต่ 1,000 - 50,000 ล้านบาท เกี่ยวกับผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้า (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจากผลการสำรวจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
45% ของบริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ “รอดูสถานการณ์” เพื่อรอความชัดเจนจากการเจรจาการค้า ในขณะที่อีก 40% ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ เนื่องจากไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากนัก และมีเพียง 10% เท่านั้น ที่หันมาใช้มาตรการลดต้นทุน หรือหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ส่วนที่เหลืออีก 5% ที่ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการลงทุน เพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษี
70% ของบริษัทระบุว่า สามารถรับได้ในกรณีที่ภาษีไม่เกิน 10%
95% ของผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ดำเนินการเจรจาอย่างจริงจังและรวดเร็ว” เพื่อป้องกันผลกระทบจากภาษี
55% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ไม่มีแผนย้ายฐานการผลิต” เนื่องจากมองว่าผลกระทบยังไม่รุนแรงพอ ในขณะที่อีก 45% บอกว่า “มีโอกาส” หากอัตราภาษียังไม่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว
ทั้งนี้ ลูกค้าปัจจุบันและที่ได้ลงนามในสัญญากับ WHA แล้ว ซึ่งมีลูกค้าทั้งจากจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยอยู่ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ รวมถึงศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งเป็นเทรนด์การลงทุนที่กำลังได้รับความสนใจในประเทศไทย ยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง
จากการสำรวจลูกค้าใหม่ในประเทศจีน พบว่า ยังคงมีความเชื่อมั่นและยืนยันแผนการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยให้เหตุผลหลักว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในระยะยาว
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจลดอัตราภาษีสำหรับสินค้าไทยในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงใช้นโยบายกดดันจีนอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปแล้ว แม้ผู้ผลิตยังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย แต่ก็มีความคาดหวังอย่างมากให้ภาครัฐดำเนินการเชิงรุกเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนสูง
แม้จะมีความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงจากมาตรการภาษีที่อาจสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคง "รอดูสถานการณ์" และยังไม่มีแผนย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยในเร็วๆ นี้ จากผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ผลิตไทย พบว่า
45% ของบริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ “รอดูสถานการณ์” เพื่อรอความชัดเจนจากการเจรจาการค้า
ขณะที่อีก 40% ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ เนื่องจากไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากนัก
มีเพียง 10% เท่านั้นที่หันมาใช้มาตรการลดต้นทุน หรือหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
อีก 5% ที่ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการลงทุน เพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษี
มั่นใจไทยยังน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และจีนแม้สถานการณ์การค้าจะไม่แน่นอน แต่ 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคง “เชื่อมั่นในประเทศไทย” ว่าเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทจีนและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมองว่าไทยยังมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค
เมื่อสอบถามถึง “ระดับภาษีที่ยอมรับได้” หากเกิดมาตรการตอบโต้ทางภาษีจากสหรัฐฯ ผลสำรวจพบว่า
70% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า สามารถรับได้ในกรณีที่ภาษีไม่เกิน 10%
30% ยอมรับได้หากอยู่ในช่วง 10-20%
ไม่มีใครเห็นว่าภาษีควรเกินจากนี้
เสียงส่วนใหญ่จากผู้ผลิตต้องการให้รัฐบาลไทย “เร่งเจรจา” กับสหรัฐฯ เพื่อขอลดภาษีนำเข้า
95% ของผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ดำเนินการเจรจาอย่างจริงจังและรวดเร็ว” เพื่อป้องกันผลกระทบจากภาษี
30% ต้องการให้มีมาตรการเยียวยาภาคเอกชน เช่น การลดภาษีในประเทศ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ
เมื่อถามถึงโอกาสในการ “ย้ายฐานการผลิตออกจากไทย” ผลสำรวจออกมาว่า
55% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ไม่มีแผนย้าย” เนื่องจากมองว่าผลกระทบยังไม่รุนแรงพอ
45% บอกว่า "มีโอกาส” หากอัตราภาษียังไม่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว
"จากการอัพเดตล่าสุด ลูกค้าต่างชาติยังยืนยันเดินหน้าเข้ามาลงทุนยังประเทศไทยอยู่ เพราะหากเทียบอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ประเทศจีนถูกกดดัน 145% และกระแสข่าวล่าสุดสูงอาจถึง 245% แล้ว ในขณะที่เวียดนามถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าที่ราว 46% และไทย 36% จะเห็นได้ว่าก็ยังคงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ 2 ทางเลือกแรก"
การย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่ถูกคิดภาษีที่ถูกกว่าอย่างแถบอเมริกาตอนใต้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก กว่าจะสร้างโรงงานต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-4 ปี แม้กระทั้งโรงงานสำเร็จรูป (Built-to-Suit) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นทรัมป์ก็อาจหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ไปแล้ว
ลูกค้าที่ชะลอการตัดสินใจส่วนใหญ่ก็จะเป็นรายกลางและรายเล็ก แต่ถามว่าต้องย้ายการลงทุนไปยังแถบประเทศที่สหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าต่ำเลยหรือไม่ ก็มองว่าคงไม่ เพราะด้วยขนาดธุรกิจการลงทุนสูงขนาดนั้นก็สู้ไม่ไหว ซึ่งการชะลอการตัดสินใจเพื่อดูท่าทีของลูกค้าก็เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้
ในแง่ของผลกระทบของกลุ่มลูกค้ามองว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ก็มีสะเทือนบ้าง แต่เชื่อว่าลูกค้ามีอแผนงานรองรับความเสี่ยงจากภาษีตอบโตไว้บ้างแล้ว ส่วนยานยนต์นั้น ไทยส่งออกยานยนต์พวงมาลัยขวา จึงไม่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่แล้ว สำหรับกลุ่มเทคโนโลยียังมีเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสถานการณ์การย้ายฐานผลิตในประเทศเวียดนาม ต้องยอมรับว่าในระยะแรกก็มีช็อกไปบ้าง เพราะที่ผ่านมาทางรัฐบาลเวียดนามพยายามสื่อสารอยู่ตลอดว่าค่อนข้างสนิทสนมกับทางสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์อันดี แต่เมื่อถูกผลกระทบจาก reciprocal tariffs ด้วยก็ทำช็อกไปบ้าง จากนี้ต้องรอดูว่าภาครัฐเวียดนามจะเจรจาได้ดีขนาดไหน
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าผลกระทบจาก Reciprocal tariffs ของทรัมป์ในครั้งนี้จะไม่กดดันต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท เนื่องจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ส่วนมากถูกทยอยรับรู้เข้ามาไตรมาส 1/2568 พอสมควรแล้ว ซึ่งธุรกิจนิคมฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ทั้งโลจิสติกส์ สาธารณูปโภคทั้งน้ำและไฟฟ้า เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี ดังนั้นแล้วผลกระทบในระยะสั้นจึงไม่ได้มีผลนัก แต่ภาพในระยะยาว หากว่าทรัมป์เอาจริงกับการขึ้นภาษีจากทุกประเทศตามอัตราการเคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ เชื่อได้ว่าสะเทือนเศรษฐกิจโลกแน่
และไม่ใช่เพียงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว ทั้งนี้ อย่างที่เคยกล่าวไว้เสมอว่าการทำธุรกิจเรามักมองในภาพใหญ่และระยะยาว จะไม่เพียงวิตกกับผลกระทบในระยะสั้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ความไม่แน่นอนยังมี การลงทุนแต่ละครั้งมูลค่ามหาศาลจึงต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
"จากนี้ไปก็ต้องรอดูว่าหลังการสิ้นสุดระยะเวลา 90 วัน ไปแล้ว ผลการเจรจาของไทยจะสำเร็จด้วยดีมากน้อยแค่ไหน"
ขณะที่การสอบถามความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า มองว่านโยบายทางภาษีของทรัมป์ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไม่น้อย และอาจทำให้การตัดสินใจลงทุนชะลอตัวลงมาก
โดยนโยบายทางเศรษฐกิจ ทรัมป์ 1.0 เป็นการโยกย้ายฐานผลิต แน่นอนว่าทั้งประเทศไทยและเวียดนาม ได้รับความสนใจจากต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการประเทศจีนที่ต้องหนีมาตั้งหลัก และใช้ไทยเป็นฐานเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ
แต่ในรอบนี้ทรัมป์ 2.0 เอาจริงมากขึ้นในเรื่องของการสกัดกั้นสินค้าจากประเทศจีน และประเทศที่จีนใช้เป็นทางผ่านในการส่งออก แบบเข้มงวดมากขึ้น ต้องยอมรับว่าหากสหรัฐฯ ใช้อัตราภาษีในระดับ 36% สำหรับประเทศไทย และ 46% กับประเทศเวียดนาม ทำให้การย้ายฐานผลิตเข้ามาทำธุรกิจในไทยและเวียดนามก็เป็นระดับที่เหนื่อยมาก
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าสิ้นสุด 90 วันจากนี้ อัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นทั้งไทยและเวียดนามจะหยุดที่ประมาณเท่าไหร่ ถ้าอยู่ในระดับต่ำก็อาจเห็นการเดินหน้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อ แต่หากเป็นระดับกลางถึงสูงการลงทุนในไทยคงเหลือน้อยมาก เพราะโซนอเมริกาใต้เฉลี่ยภาษีส่งออกเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งจูงใจกว่า