WTO ชี้ สงครามการค้า “ภาษีทรัมป์” เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจโลกดิ่ง

17 เม.ย. 2568 | 23:00 น.

WTO เตือนการค้าโลกปี 2025 อาจหดตัว 1.5% หากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีเต็มสูบ จีน-สหรัฐปะทะเดือด กระทบหนักประเทศพึ่งพาการส่งออก

องค์การการค้าโลก (WTO) ส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ หลังออกรายงานล่าสุดระบุว่า แนวโน้มการค้าโลก “ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง” จากผลกระทบโดยตรงของนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา พร้อมชี้ว่าความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่กำลังขยายวงกว้างกำลังบ่อนเซาะเสถียรภาพของระบบการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ

รายงาน “Global Trade Outlook and Statistics” ฉบับใหม่ของ WTO ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุว่า ภายใต้สถานการณ์การเก็บภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการระงับใช้มาตรการภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน การค้าโลกในปี 2025 มีแนวโน้มหดตัวลง 0.2% ก่อนจะฟื้นตัวแบบ “ถ่อมตัว” ที่ระดับ 2.5% ในปี 2026

แม้จะดูเหมือนตัวเลขไม่มากนัก แต่ WTO ย้ำว่าตัวเลขดังกล่าว “ต่ำกว่าฉากทัศน์ฐานที่ไม่มีการขึ้นภาษีถึงเกือบ 3 จุดเปอร์เซ็นต์” สะท้อนถึงแรงกดดันจากนโยบายการค้าที่กลับทิศจากต้นปี ซึ่งเคยคาดว่าจะได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่กำลังดีขึ้น

หนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงคือทวีปอเมริกาเหนือ โดย WTO คาดว่าการส่งออกจากภูมิภาคนี้ในปีนี้จะทรุดตัวลงถึง 12.6% และจะกลายเป็นปัจจัยฉุดภาพรวมการค้าโลกในปี 2025 ถึง 1.7 จุดเปอร์เซ็นต์ ทำให้การเติบโตของการค้าสินค้าทั่วโลกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ไม่เพียงแค่นั้น WTO ยังเตือนว่า “ความเสี่ยงเชิงลบรุนแรง” ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ตัดสินใจเดินหน้าบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้แบบเต็มรูปแบบ และหากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า (Trade Policy Uncertainty: TPU) แพร่กระจายไปเกินขอบเขตของความสัมพันธ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า อาจทำให้การค้าโลกในปี 2025 หดตัวลงถึง 1.5%

นับเป็นการพลิกผันอย่างชัดเจนจากปี 2024 ซึ่งเป็นปีทองของการค้าโลก โดยการค้าสินค้าเติบโตถึง 2.9% และการค้าบริการพุ่งสูงถึง 6.8% ก่อนจะมาเผชิญกับมาตรการภาษีแบบสายฟ้าแลบจากทรัมป์ที่ประกาศในเดือนเมษายนว่าจะแบกภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากกว่า 180 ประเทศ โดยเฉพาะจีนที่ถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 145% ซึ่งทางปักกิ่งก็สวนกลับด้วยภาษีตอบโต้ต่อสินค้าสหรัฐฯ สูงสุดถึง 125% จนกลายเป็นชนวนระลอกใหม่ของสงครามการค้า

ผลกระทบต่อการค้าโลกมีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดย WTO ระบุว่าเอเชียและยุโรปยังคงมีบทบาทบวกต่อการเติบโตของการค้าโลก แม้จะลดลงเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ โดยเฉพาะเอเชียที่เคยมีส่วนสนับสนุนอย่างมาก บทบาทลดลงเหลือเพียง 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ในฉากทัศน์ใหม่

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลให้เกิด “การเบี่ยงเบนทางการค้า” (Trade Diversion) อย่างมีนัยสำคัญ WTO คาดการณ์ว่าสินค้าส่งออกของจีนอาจเพิ่มขึ้น 4-9% ในภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากอเมริกาเหนือ ขณะที่การนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าอย่างสิ่งทอ เสื้อผ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า จะลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาที่เน้นการส่งออกสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากจีนได้

ราล์ฟ ออสซา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ WTO ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การปะทะกันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะนำไปสู่ “การหดตัวอย่างรุนแรง” ของการค้าระหว่างสองประเทศ พร้อมเตือนว่าผลกระทบไม่ได้จำกัดเฉพาะจีนหรือสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประเทศที่สามอย่างยุโรปด้วย

เขาอธิบายว่า บริษัทในยุโรปเองก็เผชิญกับภาษีนำเข้าสูงถึง 25% หากต้องการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งบีบให้ผู้ผลิตยุโรปต้องมองหาตลาดใหม่ๆ เช่นเดียวกับจีนที่หันมาเพิ่มการส่งออกไปยังเอเชียและตลาดเกิดใหม่มากขึ้น

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจโลก ออสซาเน้นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันบริหารจัดการผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเหล่านี้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน เพราะผลของมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่กำแพงภาษี แต่ยังบ่อนทำลายความมั่นใจในระบบการค้าเสรีที่ทั่วโลกต่างพึ่งพาอยู่ในปัจจุบัน

ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ครอบคลุมเกือบทุกมิติ WTO ยังคงจับตาผลกระทบจากนโยบายการค้าที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ กลับมาบังคับใช้ภาษีเต็มรูปแบบหลังหมดช่วงพัก 90 วัน ซึ่งจะยิ่งกดดันประเทศกำลังพัฒนาให้เผชิญความท้าทายหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมในการรักษาส่วนแบ่งทางการค้าในตลาดโลก