แคลิฟอร์เนียยื่นฟ้อง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฐานออกมาตรการเก็บภาษีศุลกากรฉุกเฉินต่อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยชี้ว่าเป็นการใช้อำนาจประธานาธิบดีที่เกินขอบเขตและละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศ
การฟ้องร้องดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มี “รัฐ” ในสหรัฐอเมริกาออกมาฟ้องรัฐบาลกลางในประเด็นภาษีศุลกากร โดยผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวซัม และอัยการสูงสุด ร็อบ บอนตา แถลงข่าวอย่างจริงจัง ณ ไร่อัลมอนด์แห่งหนึ่งในรัฐ พืชเศรษฐกิจสำคัญของแคลิฟอร์เนียที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และกำลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเก็บภาษี
ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า แคลิฟอร์เนียได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วนจากนโยบายภาษีเหล่านี้ รัฐของเราคือหัวใจของภาคการผลิตและเกษตรกรรมของประเทศ เราไม่อาจอยู่นิ่งเฉยในขณะที่อุตสาหกรรมหลักของเรากำลังถูกบั่นทอน พร้อมชี้ว่า การฟ้องครั้งนี้เป็นการยืนหยัดแทนคนอเมริกันกว่า 40 ล้านคนในรัฐ
แคลิฟอร์เนียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก หากนับแยกจากสหรัฐฯ ทั้งประเทศ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตอัลมอนด์รายใหญ่ที่สุดของโลกถึง 82% รวมถึงเป็นผู้ผลิตแต่เพียงผู้เดียวในสหรัฐฯ สำหรับอาติโช๊ค มะเดื่อ มะกอก วอลนัต และลูกเกด
นอกจากความเสียหายต่อเกษตรกรรม คำฟ้องยังระบุว่าภาษีนำเข้า 10% ที่ทรัมป์บังคับใช้กับหลายประเทศ (และสูงถึง 145% สำหรับจีน) ส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้าในภาพรวม ทำให้ต้นทุนดำเนินธุรกิจสูงขึ้น และกดดันผู้บริโภค
คดีความนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การท้าทายอำนาจของทรัมป์ในการใช้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) เพื่อออกภาษี โดยระบุว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่เคยถูกใช้เพื่อออกมาตรการทางภาษีมาก่อน และอำนาจด้านภาษีควรอยู่กับสภาคองเกรสตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียยกตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่เคยตัดสินคัดค้านแผนการล้างหนี้นักเรียนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยชี้ว่าเป็นการขยายอำนาจฝ่ายบริหารเกินขอบเขต พร้อมแสดงความมั่นใจว่า หากศาลฎีกายึดหลักการเดิมในการตัดสินคดีนี้ รัฐแคลิฟอร์เนียก็มีโอกาสชนะสูง
ทางทำเนียบขาวไม่รอช้าที่จะโต้กลับ โดยโฆษก คุช เดไซ กล่าวหาว่า เกวิน นิวซัมควรหันไปแก้ปัญหาอาชญากรรม คนไร้บ้าน และค่าครองชีพที่สูงลิ่วในรัฐ มากกว่ามายุ่งกับความพยายามของทรัมป์ในการกู้วิกฤตการค้าและขาดดุลสินค้าของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคัดค้านกลับมองว่า การนำภาคการผลิตกลับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาอันสั้น และนโยบายภาษีเช่นนี้เสี่ยงสร้างผลกระทบในวงกว้างมากกว่า โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว
คดีฟ้องร้องจากแคลิฟอร์เนียถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ส่งเสียงแทนความไม่พอใจจากหลายฝ่ายทั่วประเทศ ทั้งภาคธุรกิจขนาดเล็ก กลุ่มสิทธิพลเมือง และผู้บริโภคทั่วไป ที่เริ่มมองเห็นผลกระทบของนโยบาย “ภาษีขาเดียว” ซึ่งไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ไร้ขั้นตอนตรวจสอบ และขาดการมีส่วนร่วมของสภา
คำฟ้องเตือนว่า “ความเสียหายเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” โดยระบุถึงความปั่นป่วนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ การระงับการลงทุน และความเสี่ยงที่จะดันประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย
ขณะที่ทรัมป์ยังคงใช้แนวทางเดิมในการสื่อสารว่า ภาษีศุลกากรคือกลไกต่อรองทางการค้า และเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกันให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง เสียงเตือนจากรัฐขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศก็เริ่มดังกว่าเดิม
“ทรัมป์ไม่มีอำนาจในการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบชีวิตเราด้วยตัวคนเดียว” นิวซัมกล่าวบนโพสต์ใน X พร้อมย้ำว่า นี่คือการต่อสู้เพื่อหลักนิติธรรม และอนาคตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ขณะนี้ เหลือเพียงศาลที่จะเป็นผู้ชี้ชะตาว่า แคลิฟอร์เนียจะสามารถหยุดยั้งนโยบายที่พวกเขามองว่า “อันตรายและผิดรัฐธรรมนูญ” ได้หรือไม่ และหากชนะ คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสมดุลอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลรัฐในสหรัฐฯ อีกครั้งในประวัติศาสตร์