ภาษีตอบโต้“โดนัลด์ ทรัมป์” ป่วนเศรษฐกิจโลก ฉุดเศรษฐกิจไทย

18 เม.ย. 2568 | 09:46 น.
อัปเดตล่าสุด :18 เม.ย. 2568 | 09:48 น.

แม้จะยังมีความไม่แน่นอนเรื่อง การจัดเก็บภาษีตอบโต้ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากเลื่อนเวลาการจัดเก็บออกไปอีก 90 วัน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วน เพราะผล กระทบไม่ใช่แค่ประเทศคู่ค้ากับสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐเองด้วย

สงครามการค้ารอบใหม่ปะทุขึ้น หลังประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจของอเมริกาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ด้วยการประกาศ“ภาษีตอบโต้” (Reciprocal tariffs) ต่อ 185 ประเทศทั่วโลก ขึ้นภาษีนำเข้าแบบฐานขั้นต่ำในอัตรา 10% จากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่จะมี 60 ประเทศ ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่านี้ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจัดเก็บในอัตราสูงถึง 36%

อัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศออกมา สร้างความปั่นป่วนให้กับทั่วโลกและปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ที่ออกมายืนหยัดตอบโต้ชัดเจนคือ จีน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จีนออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกมาตรการภาษีทันที พร้อมประกาศว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง

 จากนั้น 2 วันถัดมา จีนประกาศแผนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ 34% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีน โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 1 วันหลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้

ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทรัมป์พร้อมกับขู่ว่า หากรัฐบาลจีนไม่ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ต่อสินค้าของสหรัฐฯ ภายในวันที่ 8 เม.ย. จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 50% ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีทั้งหมดพุ่งขึ้นไปเป็น 104% จีนแทนที่จะถอย แต่กลับประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 84%

ล่าสุด(10 เมษายน)ประธานาธิบดี สหรัฐฯประกาศเลื่อนการบังคับใชุ้ภาษีตอบโต้ ออกไป 90 วันกับบรรดาประเทศต่างๆ ยกเว้นจีนที่สหรัฐฯ ได้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 125% และภาษีเฉพาะเจาะจงที่ 20% รวมเป็น 145% เพื่อตอบโต้จีนที่ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กลับสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ก่อน

ฟากสหภาพยุโรป หรือ อียูเองก็ไม่ต่างกับจีน อียูเดินหน้าสงครามการค้ารอบใหม่ ด้วยการอนุมัติมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 25% หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีสินค้า EU 20% โดยแบ่งการจัดเก็บเป็น 3 ระยะ โดยชุดแรกจะเริ่มตั้งแต่ 15 เมษายน และชุมที่สองจะตามมาในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568

สถานการณ์ความตึึงเครียดด้านภาษี กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทย แต่เพียง 3 วันทำการ หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี (ช่วง 3-8 เมษายน 2568) เงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้แนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือนครึ่งที่ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ หรือหากเทียบกับวันปิดตลาดวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ 34.16 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าลงมาประมาณ 2.3%

ภาษีตอบโต้“โดนัลด์ ทรัมป์” ป่วนเศรษฐกิจโลก ฉุดเศรษฐกิจไทย

ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายเงินพบว่า แม้จะมีเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ิ 9,307 ล้านบาท แต่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 10,975 ล้านบาท

นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ระบุว่า แน่นอนว่า นโยบายของทรัมป์จะส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯด้วย เพราะสินค้าที่กระโดดเข้าไปขายในสหรัฐฯได้ จะเป็นสินค้าที่ราคาสูงจากกำแพงภาษี ซึ่งสหรัฐฯ จะเจอกับปัญหาการบริโภคชะลอสูง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำงานลำบากว่า จะใช้นโยบายสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น หรือจะใช้นโยบายลดเงินเฟ้อลง 

ดังนั้นจากนี้ไปต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯว่า จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great depression) หรือไม่ ขณะที่ประเทศไทยเองก็ต้องระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค(Technical recession) ซึ่งหากเศรษฐกิจตกท้องช้างในช่วงไตรมาส 2 และต่อเนื่องในไตรมาส 3 จะเป็นโจทย์ที่จะต้องดูแล ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

ขณะที่ SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเติบโต 2.2% จากที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมีนาคมว่าจะเติบโต 2.4% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 1.3% ลดลงจากครั้งก่อนที่คาดการณ์ไว้ 1.9% สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ เดิมคาดว่าจะเติบโต 2.4% ประเมินเบื้องต้นคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตลดลงเหลือราว 1.4-1.5%

“นอกจากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ 10% แล้ว ไทยยังจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่มีความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มอีก จนเพดานภาษีที่จะเก็บไทยสูงสุดที่ 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยการถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มของทั้งโลก อยู่ที่ 16% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนอยู่ที่ 33%”

การประกาศปลดปล่อยสหรัฐฯครั้งนี้ ถือเป็นการ GATP และองค์การการค้าโลกหรือ WTO ลงอย่างสิ้นเชิง และจะนำมาซื้อความปั่นป่วน เพราะแม้แต่ตอนนี้ การอัตราภาษีที่สหรัฐฯจะจัดเก็บก็ยังไม่นิ่ง การประกาศภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ก็เพื่อให้มีการเจรจาใหม่กับทั้ง 185 ประเทศ เป็นการจัดระเบียบใหม่ของสหรัฐ เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับประเทศต่างๆ

ประเทศไทยเองเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็ก ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ยาก ดังนั้น ไม่เพียงที่ไทยจะต้องเร่งเจรจา เพื่อหาทางออกให้เหมาะสมกับสินค้าไทยที่จะส่งออกไปสหรัฐฯแล้ว ไทยเองยังต้องเฝ้าระวังสินค้าจีนที่จะทะลักเข้าไทย ทั้งจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และความต้องการระบายอุปทานที่ผลิตเกินความต้องการในจีน (Oversupply) ด้วย

การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีน จะสร้างผลกระทบรุนแรง ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีน มีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย 20-40% ซึ่งเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิตของจีน ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบการ SMEs ไทย จนอาจทำให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิต หรือ ปิดกิจการได้ ที่สุดก็จะกระทบการจ้างงาน กระทบรายได้ประชาชน

 

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,088 วันที่ 17 - 19 เมษายน พ.ศ. 2568