คลังเร่งประเมินกู้เงินเพิ่มเติม รับมือวิกฤตนโยบายภาษี “ทรัมป์”

17 เม.ย. 2568 | 23:28 น.

คลังเร่งประเมินกู้เพิ่มเติม รับมือวิกฤตนโยบายภาษี “ทรัมป์” หลังจัดเก็บรายได้ 5 เดือนแรกเกินเป้าเพียง 0.1% ภาพรวมเศรษฐกิจชะงัก แถลงปรับประมาณการจีดีพี 28 เม.ย.นี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2568 หลังจากที่ยอดการจัดเก็บรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณเกินกว่าเป้าหมายเพียง 0.1% เท่านั้น โดยรายได้หลักที่จัดเก็บได้เพิ่มคือ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ขณะที่รายได้จาก 3 กรมจัดเก็บหลักยังต่ำกว่าเป้าหมาย 

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยขณะนี้ ยังเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบายการใช้กำแพงภาษีเพื่อตอบโต้ประเทศที่เกินดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งจะกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกสินค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนจีดีพีในปีนี้ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนในประเทศก็ชะลอการลงทุน เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อที่จะเข้ามากระทบกับภาคธุรกิจ จะเห็นได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อก็อยู่ในภาวะชะลอตัว

“กระทรวงการคลังกำลังเร่งประเมินว่าจำเป็นหรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินกู้เพิ่มเติม เพื่อนำมารองรับกรณีที่จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยระดับการขาดดุลงบประมาณที่ 8.65 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 นั้น แม้จะเป็นวงเงินที่สูง แต่ก็มีแผนการใช้จ่ายรองรับไว้หมดแล้ว หากจะต้องมีการใช้จ่ายเพิ่ม ก็จำเป็นต้องใช้เงินกู้ เพราะประเมินรายรับไม่เข้าเป้า” 

นอกจากนี้ ยังต้องประเมินถึงระดับหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นไปชนเพดานการก่อหนี้ตามกรอบวินัยการเงินการคลังด้วย โดยขณะนี้ ระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 64% ขณะที่ กรอบเพดานการก่อหนี้อยู่ที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากกรอบพ.ร.บ.การก่อหนี้สาธารณะแล้ว จะพบว่า รัฐบาลมีช่องว่างที่จะกู้เงินได้เพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับการใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงจะเหลือเพียงช่องทางเดียว คือ การออกพ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติม เช่นเดียวกันกับกรณีที่เกิดวิกฤตโควิดเมื่อปี 2563 

สำหรับการออกพ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติมนั้น รัฐบาลจะต้องมีเหตุจำเป็น เช่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกู้เงินเพิ่มเติม และ ต้องมีโครการการใช้จ่าย รวมถึง กำหนดระยะเวลาการใช้จ่าย ขณะที่ สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ ยังไม่ถือว่า เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลอาจไม่สามารถใช้ช่องทางการกู้เงินดังกล่าวได้

ด้านนายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.จะมีการแถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานเศรษฐกิจแรกที่จะมีการคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก 2 ปัจจัยลบสำคัญ คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวตึกถล่ม และการประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36%

ทั้งนี้ ปัจจัยลบทั้งสองอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแง่ของความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภค การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวและการส่งออก โดย สศค. ประเมินว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับทางสหรัฐ