สถานการณ์สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ภายหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศตั้งกำแพงภาษีกับหลายประเทศคู่ค้า ตามนโยบาย “The America First trade Policy” ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ติดโผถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในอัตราที่สูงถึง 36% ทำให้รัฐบาลต้องรีบตั้งทีมไปเจรจากับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน เพื่อหวังให้สหรัฐฯ ช่วยผ่อนปรนอัตราภาษีลงมา หรืออย่างน้อยก็ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สื่อในเครือเนชั่น มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีตรมว.พลังงาน ซึ่งแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างน่าสนใจ โดยฉายภาพว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้มีบริบทคล้ายกับปี 1985 ที่มีการจัดทำข้อตกลงพลาซา (Plaza Accord) ระหว่างสหรัฐฯ กับฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
นั่นเพราะในขณะนั้นสหรัฐฯ เกิดปัญหาการขาดดุลการค้ากับไม่กี่ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเยอรมนี ทำให้ต้องบริหารค่าเงิน แต่ครั้งนี้มีหลายประเทศได้รับผลกระทบ โดยสหรัฐได้เลือกวิธีแก้ปัญหาด้วยการตั้งกำแพงภาษีขึ้นมา แต่เป้าหมายคล้าย ๆ กันนั่นคือเพื่อจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าเป็นหลัก
“การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ส่งผลกระทบไปทั้งโลก และไทยเองก็หลีกไม่พ้น เพราะที่ผ่านมาต้องเข้าใจว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับหลายประเทศจำนวนมากและยาวนานต่อเนื่อง ดังนั้นเป้าหมายหลักของเขาก็คือการลดการขาดดุลให้ได้ และทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า จนมีผลต่อการส่งออกของสหรัฐฯเอง” ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
ทั้งนี้เห็นว่า ประเทศไทยเองเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่การจะลดการเกินดุลคงไม่ง่าย หมายความว่าไทยอาจจะต้องลดการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ลง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และต้องเพิ่มการนำเข้าสินค้า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าการนำเข้าสินค้าเข้ามาเพิ่มนั้นจะทำได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ทั้งข้าวโพด และถั่วเหลือง ซึ่งมีสัดส่วนที่น้อยมาก เช่นเดียวกับการลดการส่งออกก็ยากเช่นกัน
ดร.ณรงค์ชัย ประเมินว่า ระยะสั้นในปี 2568 จะเห็นการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ ลดลงแน่นอน ส่วนจะลดลงมากแค่ไหนคงต้องดูกันต่อเนื่อง ดังนั้นการตั้งทีมไปเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ณ ตอนนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ก็คงไม่ง่าย เพราะกำแพงภาษีที่ถูกตั้งไว้สูงถึง 36% คงเป็นเรื่องยากที่จะปรับลดลงมา ส่วนการตั้งความหวังให้ประชาชนว่าการเจรจาจะได้ผลอะไรกลับมาบ้าง ส่วนตัวมองว่าอาจไม่ได้อะไรกลับมามากนัก
อย่างไรก็ดีในการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อสถานการณ์กำลังร้อนระอุอาจทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางด้านเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่ ซึ่งไทยจำเป็นต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่นั้น ดร.ณรงค์ชัย มองว่า แต่ดั้งแต่เดิมโลกจะมีผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำตัวเป็นเจ้าโลก วิธีการที่ถูกต้องของไทยคือ ไม่ควรไปมีเรื่องกับประเทศเจ้าโลก ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งที่ไทยทำได้ดีคือการรวมกลุ่มเป็นอาเซียน ซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกประเทศมาก
“ตอนนี้ไทยไม่จำเป็นต้องไปเลือกข้างอะไร ยิ่งตอนนี้สหรัฐฯ กำลังโมโห ก็ปล่อยให้เขาโมโหไป และไม่ต้องไปเถียงด้วย เพราะปกติโลกจะมีขั้วใหญ่ ๆ ที่เป็นเจ้าโลก นั่นคือ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าโลกมาก่อน โดยใช้เศรษฐกิจ การเมือง และการทหารเป็นเครื่องมือ ขณะที่จีนก็เป็นเจ้าโลกโดยใช้เศรษฐกิจ ส่วนรัสเซียก็กำลังต้องการเป็นเจ้าโลกตอนนี้ด้วย” ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
ส่วนแนวทางในการรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดร.ณรงค์ชัย เสนอแนะว่า ต้องมองที่ปัญหาให้ชัด เพราะตอนนี้จะไปแก้ปัญหาด้านการค้าอย่างเดียวคงอาจไม่ใช่ทางออก แต่อาจต้องแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ผลิตสินค้า โดยสถาบันการเงินต้องเข้ามาช่วยสนับสนุนทางการเงินตั้งแต่ต้นทาง
ขณะที่ฟากรัฐบาลเองก็ควรต้องหาทางช่วยเหลือ และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อไปช่วยเหลือผู้ผลิตให้ตรงจุด โดยเฉพาะผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ที่มีจำนวนมาก
ส่วนแนวนโยบายของรัฐกับการหาทางส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้นนั้น ส่วนตัวเห็นว่า ปกติภาคเอกชนก็พยายามหาช่องทางการทำธุรกิจและช่องทางลงทุนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงอยากเน้นย้ำสิ่งที่ควรทำนั่นคือ การหาทางเติมสภาพคล่อง จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในปัจจุบันนี้