นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า มุมมองต่อภาพรวมความเคลื่อนไหวขอตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหุ้นไทย) นั้น ต้องย้อนกลับไปดูที่ GDP ในไตรมาส 1/67 ที่ 1.5% อาจเป็นจุดต่ำสุดแล้ว สะท้อนต่อสภาพคล่องของไทยยังไม่ได้ดีนัก
แต่มีสัญญาณบวกในเดือนพ.ค.67 ที่เห็นภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณออกมาได้แล้วกว่า 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับยอดเบิกจ่ายในช่วง 5-6 เดือนก่อนหน้านี้มารวมกัน ทำให้สภาพคล่องเศรษฐกิจไทยดีขึ้น และคาดการณ์ค่าเฉลี่ย GDP ของไทยในไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นเป็นขั้นบันได โดยไตรมาส 4/67 น่าจะกลับมายืนที่กว่า 3% ได้
ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้กลับมาดีขึ้นได้ คงต้องพึ่งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดยหากว่ายังไม่มีนโยบายใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม ก็คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 67 นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งตัวอยู่ในกรอบแถวๆ 1,300 จุด แต่หากว่ามีนโยบายใหม่ๆ จากทั้ง 2 ส่วนดังกล่าว ก็คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นไปยืนที่เหนือระดับ 1,500 จุดได้ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าจากนี้ทั้งการเงินและการคลังจะวางนโยบายขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ด้านตลาดต่างประเทศนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภายในสิ้นปี 67 นี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง และในปี 68 อาจลดต่อเนื่องอีก 3-4 ครั้ง ทำให้คาดการณ์ว่าเทรดดอกเบี้ยทั่วโลกจะเข้าสู่ช่วงขาลง แต่อาจยังไม่ใช่กับประเทศญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) บางประเทศ อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 67 จะมีความผันผวนที่สูงกว่าครั้งแรกปี เพราะมีประเด็นการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เงินบาทยังคงอ่อนค่า แต่ไม่น่าจะหลุดกรอบ 37 บาท และการท่องเที่ยวจะพีคที่สุดในไตรมาส 4/67
ส่วนกลุ่มหุ้นในตลาดหุ้นไทยที่มีความน่าสนใจนั้น มองว่า Health care ยังคงโดดเด่นที่สุดในสายตา เพราะเป็นผู้ชนะมาโดยตลอดแม้ในช่วงวิกฤตโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด-19 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ โดย Health care มีซัพพลายเชนที่ค่อนข้างใหญ่ รองลงมาคือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม จากสินค้าคงคลังที่ลดลงมาก สะท้อนต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น การผลิตและยอดขายก็เติบโตไปด้วย และหุ้นกลุ่มเกี่ยวเนื่องดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะมองว่าภายในระยะเวลา 9 ปี ดาต้าเซ็นเตอร์ในตลาดอาเซียน จะเติบโตได้กว่า 10 เท่า
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 67 นี้ หากเศรษฐกิจไทยอิงตามที่ทาง ธปท. ได้พูดถึงไว้ คือ ช่วงครึ่งหลังปีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงส่งที่ดีขึ้นมาก อัตราเงินเฟ้อเริ่มเข้าสู่กรอบ ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ภาครัฐเดินหน้าอัดฉีดงบดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบ ตลาดจนภาครัฐเริ่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน
ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เป็นบวกทำให้ทางฝ่ายมองว่าโอกาสที่ ธปท. จะไม่ลดดอกเบี้ยเลยในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็เริ่มสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม มองว่ากลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอิงตามปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น เช่น การเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐ ดิจิทัลวอลเล็ต หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์โดยทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มอาการ-เครื่องดื่ม หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มสื่อสาร (ขนาดกลาง-เล็ก) ซึ่งจะได้รับปัจจัยบวกจากการปรับระบบ IT ของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการนำเอา AI มาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน
โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีก ทางฝ่ายชอบ CPALL CPAXT OSP TNP, หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม แนะนำ BTG TU TFG, หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ CK หุ้นกลุ่ม ICT แนะนำ SAMART ITEL SYNEX เป็นต้น