ทิสโก้แนะแบงก์ ‘รัดเข็มขัด-เคลียร์หนี้เสีย’ รับดอกเบี้ยขาลง

06 พ.ย. 2568 | 08:58 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ย. 2568 | 08:58 น.

บล.ทิสโก้แนะแบงก์รับมือ “คุมหนี้เสียให้ได้-ลดค่าใช้จ่ายการกันสำรองลง” รับดอกเบี้ยขาลง เปิด 2 ความท้าทายช่วงโค้งท้ายปี กำไรจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลลดลง-หนี้เสียส่อเพิ่ม ชี้ NIM ใกล้จุดต่ำสุด

KEY

POINTS

แม้ กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายรวม 4 ครั้ง ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง แต่ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) มีจำกัด

คาดว่า NIM น่าจะใกล้จุดต่ำสุดแล้ว ในช่วงปลายปี 2568 และอาจค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นในปี 2569 ตามต้นทุนทางการเงินที่ลดลง

แบงก์ยังต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนของ NPLs ที่อาจขยับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง (Credit Cost) ในอนาคต

ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย “ขาลง” ผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารของไทยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆถือว่า น้อยกว่าที่ตลาดเคยกังวล โดยช่วงต้นธนาคารอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือ ดอกเบี้ยตระกูล M ไม่มากนัก

แม้ว่าในไตรมาส 3/68 ธนาคารทุกแห่งจะปรับดอกเบี้ยทุกประเภทลดลงมาก (ลด 25bps) แต่ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ( NIM) มีจำกัด 

ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ดี แต่ยังต้องเฝ้าระวังจากความไม่แน่นอนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ขยับเพิ่ม ซึ่งมีผลต่อค่าความเสี่ยงหรือ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ(Credit cost)ในอนาคต

ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วรวม 4 ครั้งเป็นอัตรา 1.00% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50%ต่อปี  

ทิสโก้แนะแบงก์ ‘รัดเข็มขัด-เคลียร์หนี้เสีย’ รับดอกเบี้ยขาลง

สำหรับอัตราดอกเบี้ยในตลาด ธนาคารพาณิชย์ได้ส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบาย โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งตระกูล M เห็นได้จาก

  • อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) อยู่ที่ 6.50% ต่อปีปรับลดลง 0.6% จาก 7.10%(16 ต.ค.67)
  • อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกบัญชี (MOR) อยู่ที่ 6.75% ต่อปี ปรับลดลง 0.8%จาก 7.55%
  • อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อยู่ที่ 6.65% ต่อปีปรับลดลง 0.4%จาก 7.05% 

ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเฉพาะ MRR ธนาคารออมสินอยู่ที่ 6.295% ปรับลดลง 0.3% จาก 6.595%(1พ.ย.67) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)อยู่ที่ 6.625% ปรับลดลง 0.25% จาก 6.875%(1 พ.ย.67) และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) อยู่ที่ 6.245% ปรับลดลง 0.3% จาก 6.545%(1 พ.ย.67) 

ด้านดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศพบว่า

  • อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 0.125-2.00%
  • ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน ปรับลดลงแล้ว 0.025-0.8% อยู่ที่ 0.625-1.350%
  • เงินฝากประจำ 6 เดือน ปรับลดลงแล้ว 0.3-0.6% อยู่ที่ 0.80-1.45%
  • เงินฝากประจำ 12 เดือน ปรับลดลงแล้ว 0.35-0.6% อยู่ที่ 1.05-1.60%
  • เงินฝากประจำ 24 เดือนปรับลดลงแล้ว 0.4-0.9% อยู่ที่ 1.15-1.60%  

นายธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ด้วยความที่เศรษฐกิจยังยืนได้ดีกว่าคาด และดูท่าทีธปท.ไม่ได้อยากปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากนัก (อาจจะมีลงอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย)

ดังนั้น NIM น่าจะใกล้ จุดต่ำสุดเต็มที่แล้ว ปีหน้า (2569) คาดว่า NIM จะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น ตามต้นทุนทางการเงินที่ลดลง 

“การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายช่วง 9 เดือนปีนี้ ถือว่าผลกระทบน้อยกว่าที่เคยกังวล ช่วงต้นธนาคารอาจจะปรับลดดอกเบี้ย M ไม่มากนัก แม้จะลดลงมากในช่วงไตรมาส 3 แต่ผลกระทบต่อ NIM ก็จำกัด เพราะแบงก์ยังสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ดี ส่วนหนึ่งจากไม่ต่ออายุเงินฝากดอกเบี้ยสูง ปล่อยให้หมดอายุไป” 

สำหรับค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio: CIR) ปัจจุบันอยู่ที่ 43% ซึ่งส่วนตัวมองว่า เป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่อยู่ราว 40 กลางๆ อีกทั้งถ้าดูว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปัจจุบันโตเพียง 1%YoY ถือว่า ธนาคารควบคุมต้นทุนได้ดี  

อย่างไรก็ดี หลายๆ ธนาคารประกาศว่า อยากจะลด CIR ให้ต่ำลงไปอีก อาจจะต่ำกว่า 40% ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ท้าทายมาก เพราะค่าใช้จ่ายปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งคือ พนักงาน ที่ทุกวันนี้จำนวนพนักงานทยอยๆ ลดลงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มเพียง 3%ต่อปี

ซึ่งถ้าคิดว่า นี่คือปรับเงินเดือนประจำปี ก็ถือว่าต่ำมาก การที่ธนาคารจะลดต้นทุนให้ลงได้อีก ต้องมาพร้อมกับการลดพนักงานหรือปิดสาขาจำนวนมาก ซึ่งในระยะสั้นๆ มองว่า ทำได้ยากมากๆ ในบริบทของประเทศไทย 

นายธนวัฒน์กล่าวถึงความท้าทายในช่วงโค้งท้ายปี 2568ว่า ความท้าทายหลักของแบงก์ในไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่การรักษารายได้ ในสถานการณ์ที่กำไรจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลลดลง ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงต่อเนื่อง 

ทำให้ธนาคารทำกำไรจากพันธบัตรรัฐบาลที่ตัวเองถืออยู่ในพอร์ต(คาดว่าอาจสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้) โดยนำกำไรนั้นมาช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป ทำให้กำไรของกลุ่มออกมาดีมาก  

อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเริ่มมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น กำไรส่วนนี้อาจจะหายไป ดังนั้น รายได้อาจลดลง กดดันกำไรลดลงด้วย กำไรช่วง 9 เดือนปีนี้ อาจจะเป็นจุดสูงสุดในรอบนี้แล้ว 

ดังนั้นแนวทางการจะรับมือธนาคารคงมีการควบคุมการใช้จ่ายให้เข้มข้นขึ้นไปอีก รวมถึงคุมหนี้เสียให้ได้ เพื่อจะปรับลดค่าใช้จ่ายการกันสำรองลง

โดยจะเห็นว่า ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารระมัดระวังเต็มที่ สินเชื่อติดลบมาตลอด และจำนวนพนักงานก็ปรับลดลงต่อเนื่อง พร้อมทั้งพยายามหารายได้จากแหล่งใหม่ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทุน มาชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,146 วันที่ 6 - 8 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2568