KEY
POINTS
แม้ กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายรวม 4 ครั้ง ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง แต่ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) มีจำกัด
คาดว่า NIM น่าจะใกล้จุดต่ำสุดแล้ว ในช่วงปลายปี 2568 และอาจค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นในปี 2569 ตามต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
แบงก์ยังต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนของ NPLs ที่อาจขยับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง (Credit Cost) ในอนาคต
ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย “ขาลง” ผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารของไทยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆถือว่า น้อยกว่าที่ตลาดเคยกังวล โดยช่วงต้นธนาคารอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือ ดอกเบี้ยตระกูล M ไม่มากนัก
แม้ว่าในไตรมาส 3/68 ธนาคารทุกแห่งจะปรับดอกเบี้ยทุกประเภทลดลงมาก (ลด 25bps) แต่ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ( NIM) มีจำกัด
ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ดี แต่ยังต้องเฝ้าระวังจากความไม่แน่นอนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ขยับเพิ่ม ซึ่งมีผลต่อค่าความเสี่ยงหรือ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ(Credit cost)ในอนาคต
ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วรวม 4 ครั้งเป็นอัตรา 1.00% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50%ต่อปี
สำหรับอัตราดอกเบี้ยในตลาด ธนาคารพาณิชย์ได้ส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบาย โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งตระกูล M เห็นได้จาก
ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเฉพาะ MRR ธนาคารออมสินอยู่ที่ 6.295% ปรับลดลง 0.3% จาก 6.595%(1พ.ย.67) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)อยู่ที่ 6.625% ปรับลดลง 0.25% จาก 6.875%(1 พ.ย.67) และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) อยู่ที่ 6.245% ปรับลดลง 0.3% จาก 6.545%(1 พ.ย.67)
ด้านดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศพบว่า
นายธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ด้วยความที่เศรษฐกิจยังยืนได้ดีกว่าคาด และดูท่าทีธปท.ไม่ได้อยากปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากนัก (อาจจะมีลงอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย)
ดังนั้น NIM น่าจะใกล้ จุดต่ำสุดเต็มที่แล้ว ปีหน้า (2569) คาดว่า NIM จะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น ตามต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
“การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายช่วง 9 เดือนปีนี้ ถือว่าผลกระทบน้อยกว่าที่เคยกังวล ช่วงต้นธนาคารอาจจะปรับลดดอกเบี้ย M ไม่มากนัก แม้จะลดลงมากในช่วงไตรมาส 3 แต่ผลกระทบต่อ NIM ก็จำกัด เพราะแบงก์ยังสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ดี ส่วนหนึ่งจากไม่ต่ออายุเงินฝากดอกเบี้ยสูง ปล่อยให้หมดอายุไป”
สำหรับค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio: CIR) ปัจจุบันอยู่ที่ 43% ซึ่งส่วนตัวมองว่า เป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่อยู่ราว 40 กลางๆ อีกทั้งถ้าดูว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปัจจุบันโตเพียง 1%YoY ถือว่า ธนาคารควบคุมต้นทุนได้ดี
อย่างไรก็ดี หลายๆ ธนาคารประกาศว่า อยากจะลด CIR ให้ต่ำลงไปอีก อาจจะต่ำกว่า 40% ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ท้าทายมาก เพราะค่าใช้จ่ายปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งคือ พนักงาน ที่ทุกวันนี้จำนวนพนักงานทยอยๆ ลดลงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มเพียง 3%ต่อปี
ซึ่งถ้าคิดว่า นี่คือปรับเงินเดือนประจำปี ก็ถือว่าต่ำมาก การที่ธนาคารจะลดต้นทุนให้ลงได้อีก ต้องมาพร้อมกับการลดพนักงานหรือปิดสาขาจำนวนมาก ซึ่งในระยะสั้นๆ มองว่า ทำได้ยากมากๆ ในบริบทของประเทศไทย
นายธนวัฒน์กล่าวถึงความท้าทายในช่วงโค้งท้ายปี 2568ว่า ความท้าทายหลักของแบงก์ในไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่การรักษารายได้ ในสถานการณ์ที่กำไรจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลลดลง ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงต่อเนื่อง
ทำให้ธนาคารทำกำไรจากพันธบัตรรัฐบาลที่ตัวเองถืออยู่ในพอร์ต(คาดว่าอาจสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้) โดยนำกำไรนั้นมาช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป ทำให้กำไรของกลุ่มออกมาดีมาก
อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเริ่มมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น กำไรส่วนนี้อาจจะหายไป ดังนั้น รายได้อาจลดลง กดดันกำไรลดลงด้วย กำไรช่วง 9 เดือนปีนี้ อาจจะเป็นจุดสูงสุดในรอบนี้แล้ว
ดังนั้นแนวทางการจะรับมือธนาคารคงมีการควบคุมการใช้จ่ายให้เข้มข้นขึ้นไปอีก รวมถึงคุมหนี้เสียให้ได้ เพื่อจะปรับลดค่าใช้จ่ายการกันสำรองลง
โดยจะเห็นว่า ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารระมัดระวังเต็มที่ สินเชื่อติดลบมาตลอด และจำนวนพนักงานก็ปรับลดลงต่อเนื่อง พร้อมทั้งพยายามหารายได้จากแหล่งใหม่ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทุน มาชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,146 วันที่ 6 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568