ธนาคารพาณิชย์ รายงานผลประกอบการไตรมาส3 ปี 2568 พบว่า มีกำไรสุทธิรวม 73,710 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่า 12.1% จาก 65,699 ล้านบาทและงวด 9 เดือนปี2568 มีกำไรสุทธิ 2.02 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1.95 แสนล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ บวกกับเงินปันผล และภาระตั้งสำรองที่ชะลอตัวลดลงเป็นปัจจัยบวกท่ามกลางอัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงาน
ทั้งนี้รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิงวด 9 เดือนปีนี้มีรวม 1.29 แสนล้านบาทขยายตัว 3.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1.25 แสนล้านบาท สวนทางรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่หดตัว 1.4% เป็นจำนวน 4.71 แสนล้านบาทจากเดิมอยู่ที่ 4.98 แสนล้านบาท
นำโดยบริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป(LHFG)และบริษัทย่อยมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่ม 31.4% ถัดมาคือธนาคาร เกียรตินาคินภัทร(KKP) ที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 14.2%
นายธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก บริษํทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กำไรของธนาคารทั้งกลุ่มออกมาดีกว่าตลาดคาด เกิดจากมีรายได้จากการลงทุนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นกำไรจากการขายพันธบัตรหรือการปรับขึ้นของราคาหุ้นในตลาดทุน
รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และกองทุนรวม การพึ่งพิงรายได้เหล่านี้สะท้อนว่า รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ เนื่องจากสินเชื่อยังไม่เติบโตตามเป้าหมาย
“แม้หลายแบงก์จะมีกำไรจากเงินลงทุนเยอะมาก แต่มองไปข้างหน้ายังตอบยาก เพราะไตรมาส3 หุ้นขึ้น 20% แต่ถ้าไตรมาส4 ตลาดทุนไม่ขึ้นต่อ ไม่รู้คนจะสนใจซื้อกองทุนรวมเท่าไตรมาส 3 หรือไม่ หรือ Wealth Management หลายส่วนเป็นการลงทุนตลาดข้างนอก หากตลาดยังดีก็ไปต่อได้ แต่หากวันดีคืนดีหุ้นข้างนอกปรับตัวลง ย่อมทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้หายไปเยอะได้เช่นกัน”
ดังนั้นโจทย์ใหญ่ที่ตามมาคือ ความต่อเนื่องของรายได้ “พิเศษ” เหล่านี้ในไตรมาส 4 เนื่องจากหากตลาดทุนไม่ปรับตัวขึ้นต่อ หรือตลาดหุ้นต่างประเทศซบเซา รายได้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ย่อมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงตามไปด้วย ทำให้รายได้ดอกเบี้ยที่หายไปยิ่งยากจะชดเชย
สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล นายธนวัฒน์แนะนำให้จับตาTTB และ KTBโดย TTB มีข้อได้เปรียบที่รายได้จากเงินลงทุนน้อยกว่าธนาคารอื่น ทำให้กำไรมีความนิ่ง ส่งผลให้การจ่ายปันผลมีแนวโน้มสม่ำเสมอ
ส่วน KTB มีอัตราการจ่ายปันผล (Payout Ratio) ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ทำให้มีช่องว่างในการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพื่อรักษาผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ให้ดึงดูดใจนักลงทุนได้ แม้ว่ากำไรในอนาคตจะลดลงบ้างก็ตาม
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยจากศูนย์วิจัย กสิกรไทยระบุว่า แม้ธนาคารจะพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายและระมัดระวังการตั้งสำรองหนี้เสีย แต่คุณภาพสินเชื่อยังคงเปราะบาง ลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. (คุณสู้เราช่วย) ทำให้ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และ Stage 2 ดูทรงตัว
การที่ธนาคารยังคงตั้งสำรองในระดับสูง (แม้บางแห่งจะลดลงในไตรมาส 3) จึงเป็นภาพสะท้อนถึงความระมัดระวังต่อความเสี่ยงที่คุณภาพหนี้อาจเสื่อมลงในอนาคต
ดังนั้น ภารกิจหลักของธนาคารในระยะถัดไปคือการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้โครงการ Early Retire หรือการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งหาแหล่งรายได้ใหม่ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมาชดเชยรายได้หลักที่ลดลง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,143 วันที่ 26 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568