การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5 ของปี เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ถูกจับตาเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นการตัดสินใจทิศทางดอกเบี้ยภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่ยังเป็น “นัดแรก” ภายใต้การนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ นายวิทัย รัตนากร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชี้นำทิศทางของนโยบายการเงินไทย
ผลการประชุมครั้งนี้จบลงด้วยมติที่ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ โดย 5 ต่อ 2 เสียง ให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า แม้ผู้ว่าการคนใหม่อาจมีมุมมองที่พร้อมจะผ่อนคลาย แต่การใช้เครื่องมือทางนโยบายหลักยังคงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังสูงสุด ท่ามกลางพื้นที่นโยบายที่เหลืออยู่อย่างจำกัด
นายวิทัยได้สื่อสารผ่านรายการ “GovernorConnect” ในการพบปะสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกว่า มติที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องของมุมมองทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่เป็นเรื่องของ “จังหวะเวลา (timing)” ในการใช้พื้นที่นโยบายที่เหลืออยู่ แม้กนง.จะมีเสียงที่แตกต่างกัน แต่มุมมองทางเศรษฐกิจของกรรมการทั้ง 7 ท่านไม่ได้แตกต่างกัน
ความเห็นที่แตกต่างนั้นเป็นเรื่องของเวลา (timing) ในการใช้ policy space ที่เหลืออยู่จำกัด เนื่องจากผลของการลดดอกเบี้ยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นผลเต็มที่ เนื่องจากต้องใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน กว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบอย่างชัดเจน
ดังนั้นแนวคิดของกรรมการที่ให้คงดอกเบี้ย จึงเหมือนกับการหยุดคอย (wait) และสงวน policy space ไว้เพื่อใช้ในเวลาที่เหมาะสมและสำคัญกว่า
นายวิทัยกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.5% นั้นถือว่า ต่ำมากๆ แล้ว และเมื่อเทียบกับประเทศหลักๆ ทั่วโลก อัตรานี้จัดว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 จากท้ายตลาด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวชี้ว่า ธปท.ใกล้หมดความยืดหยุ่นทางนโยบาย (policy space)แล้ว
นายวิทัยยังกล่าวถึงแนวทางการทำงานของ ธปท.ว่า จะสานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลางคือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้านหลักคือ การรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ (low and stable) การดูแลให้ระบบการเงินและสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และการดูแลระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ
นอกจากนี้ ธปท. ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอิสระในการดำเนินงาน โดยเป็นอิสระจากการถูกกดดันทางการเมืองและการตัดสินใจ แต่พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้กลับมาสู่จุดที่สมดุลและเติบโตตามศักยภาพ
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งที่ ธปท.ดูแลด้วย ไม่ใช่ไม่ดูเลย
สิ่งที่ ธปท.ให้ความสำคัญสูงสุดในยุคนี้คือ มาตรการเฉพาะจุด ซึ่ง จะช่วยเสริมกับนโยบายทางการเงินในภาพกว้าง เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย การออกมาตรการใดๆ ก็ตาม ต้องตอบให้ได้ว่า ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร สังคมได้อะไร
“ธปท.จะพยายามอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาและสังคมมากขึ้น เพื่อให้มาตรการที่ออกมาสามารถแก้ปัญหาได้จริงและมีผลกระทบ (impact) สูง หากรักษาเสถียรภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนไม่ได้อะไร สุดท้ายก็อาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง”
นายวิทัยกล่าวว่า หนี้ครัวเรือน ถือเป็นความเสี่ยงหลักที่ยังแก้ไขไม่หมด และส่งผลกระทบโดยตรงต่อ การบริโภคภาคเอกชน รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง หากประชาชนไม่สามารถชำระหนี้ได้ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ไม่ใช่การกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แต่ต้องใช้เวลาและต้องประกอบด้วยมาตรการเฉพาะจุดและโครงการหลายอย่างต่อเนื่องกันเป็นจิ๊กซอ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน
มาตรการเฉพาะจุดที่สำคัญที่สุดในการจัดการหนี้เสียคือ การใช้กลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยมีแนวคิดหลักที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้อย่างจริงจัง โดยกลุ่มลูกหนี้ที่ธปท. มุ่งช่วยเหลือคือกลุ่มที่มี หนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งมีจำนวนประมาณ 3 ล้านกว่าบัญชี ในระบบ ลูกหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่กับธนาคารพาณิชย์, Non-bank, และธนาคารของรัฐ
แนวทางปัจจุบันที่มีความเป็นไปได้สูงคือการใช้ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ซึ่งเป็นของรัฐ (กองทุนฟื้นฟูฯถือหุ้น 100%) และจะถูกปรับให้ทำหน้าที่เป็น “Social AMC” โดยมีภารกิจหลักในการช่วยคน ในขณะที่ AMC ของธนาคารพาณิชย์จะทำหน้าที่ตามภารกิจทางธุรกิจต่อไป
เมื่อมีการโอนหนี้เสียมาที่ Social AMC หนี้จะถูกโอนในราคาที่ถูก ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้อย่าง ผ่อนปรนมาก ๆ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถปลดหนี้ได้ ขณะเดียวกันธปท.ให้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการป้องกัน การเสียวินัยทางการเงิน ดังนั้น การช่วยเหลือจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่เป็น หนี้เสียมาแล้วในอดีต เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนในอนาคตเกิดความเสียวินัย
นอกเหนือจากการแก้หนี้เสียแล้ว ธปท. ยังมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ โดยธปท.ต้องช่วยลด ต้นทุนทางความเสี่ยงของเครดิต เนื่องจากธนาคารส่วนหนึ่งไม่ปล่อยสินเชื่อเพราะความเสี่ยงสูง ไม่ใช่เพราะขาดเงิน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,140 วันที่ 16 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568