ผู้ว่าธปท.ชี้ เงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง

13 มิ.ย. 2568 | 09:46 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 09:47 น.

ผู้ว่าธปท.ย้ำ สกุลเงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง แม้แต่ stablecoins ยังเสี่ยงที่จะสูญเสียมูลค่าคงที่ แถมระบบการเงินยังมีลำดับชั้น อาจไม่สำคัญในภาวะปกติ แต่ช่วงที่เกิดวิกฤต สิทธิเรียกร้องแต่ละระดับจะกลับมาแสดงบทบาทอย่างชัดเจน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวปาฐกถาเรื่อง อนาคตของเงิน (The Future of Money) ในงาน The Central Banking Summer Meetings วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ว่า ระบบการเงินคือ การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยน ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญคือ

  1. การเป็นหน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account -UOA)
  2. สื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment - MOP)
  3. กลไกในการโอนสื่อกลางในการชำระเงินและการชำระธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์

 

ผู้ว่าธปท.ชี้ เงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง

เมื่อนึกถึงอนาคตของเงิน สิ่งสำคัญคือ การตระหนักว่า แม้ระบบในปัจจุบันจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคง ดังนั้น มาตรฐานสำหรับนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ จึงควรตั้งไว้ในระดับที่สูงเพียงพอ 

เราจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากรูปแบบใหม่ๆ ของเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสามารถสร้างได้ทั้งความหวัง (hope) และความน่าตื่นเต้นเกินจริง (hype) 

 

ขณะที่เรากำลังพัฒนารูปแบบของเงินอย่างต่อเนื่อง เราต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอไปบั่นทอนหรือทำลายองค์ประกอบพื้นฐานที่ทำให้เงินทำหน้าที่ได้ดี สิ่งบางประเภทที่ถูกเสนอให้เป็นเงินรูปแบบใหม่ ควรได้รับการประเมินอย่างรอบด้านภายใต้หลักการนี้

ผู้ว่าธปท.ชี้ เงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง

เช่น สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น "หน่วยวัดมูลค่า UOA) ที่มั่นคง" ได้อย่างแท้จริง ขณะที่ stablecoins ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมูลค่าที่คงที่ เมื่อเทียบกับ UOA ซึ่งอาจขัดกับหลักการ "ความเป็นเอกภาพของเงิน" แม้ว่าจะอิงกับสกุลเงินของประเทศที่มีอยู่แล้วก็ตาม

ระบบการเงินมีลักษณะเป็นลำดับขั้น (hierarchy) โดยที่เงินของธนาคารกลาง (เช่น เงินสดและเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์) อยู่ชั้นบนสุด ในระดับถัดลงมา คือ เงินฝากธนาคารถือเป็นรูปแบบหนึ่งของสินเชื่อ คือ เป็นสัญญาว่า จะจ่ายเป็นเงินสด หรือให้การชำระหนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ผ่านวิกฤตการชำระดุลในบัญชีที่ธนาคารกลาง

ส่วนในระดับถัดลงไปอีกเป็นเงินที่ออก โดยสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) และ stablecoins ซึ่งเป็นสัญญาว่า จะจ่ายเป็นเงินฝากธนาคาร

ในแต่ละชั้นของลำดับนี้ มีโครงสร้างกลไกเชิงสถาบันที่แตกต่างกันรองรับความน่าเชื่อถือของสัญญาว่าจะจ่ายนั้น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงอ้างอิงกับรูปแบบของเงินที่อยู่ในระดับสูงกว่า

ในภาวะปกติ ลำดับชั้นนี้อาจดูไม่สำคัญ แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤต ความแตกต่างของสิทธิเรียกร้องในแต่ละระดับจะกลับมาแสดงบทบาทอย่างชัดเจน เมื่อผู้คนหันไปถือสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูงกว่าเพื่อความมั่นคง

ผู้ว่าธปท.ชี้ เงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง

ด้วยเหตุนี้ เงินของธนาคารกลางจึงทำหน้าที่เป็น "หลักยึด" (anchor) ของระบบการเงินโดยรวม เงินทุกรูปแบบล้วนต้องพึ่งพาการเข้าถึงเงินของธนาคารกลางในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอนาคตของเงินจะพัฒนาไปในทิศทางใด แต่มั่นใจอย่างยิ่งในสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เงินของธนาคารกลางในฐานะศูนย์กลางจะยังคงอยู่ต่อไป (centrality) และก็มั่นใจเช่นกันว่า อนาคตของเงินจะไม่ใช่โทเคนดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ที่ไม่ได้ยึดโยงกับเงินของธนาคารกลางโดยสิ้นเชิง

ธนาคารกลางจะยังคงมีบทบาทสำคัญที่ไม่สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ ดังนั้น ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องทำงานอย่างต่อเนื่องและแข็งขันต่อไป เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในระบบการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการเงินในอนาคตที่มีประสิทธิภาพ

ผู้ว่าธปท.ชี้ เงินดิจิทัลยังไม่ใช่หน่วยวัดมูลค่าที่แท้จริง