นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นโยบายผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกเป็นเรื่องท้าทายและมีความสำคัญ ถือเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมบริการการเงิน การลงทุนที่มีมูลค่าสูง ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่จะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของไทยสูงขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ควรศึกษาบทเรียนความสำเร็จและล้มเหลวของนโยบายที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคด้วยการเปิดเสรีทางการเงินช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินปี พ.ศ. 2540 ให้ดีด้วยว่า ทำไม มาตรการ BIBF จึงสะดุดและยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเกินตัวและธุรกรรมเก็งกำไรเกินขนาดในตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ดี หากต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอาจต้องมียุทธศาสตร์และตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการแต่จะเป็นประโยชน์แน่นอน การตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกต้องทำให้อันดับ Global Financial Centers Index ของกรุงเทพฯมาอยู่ที่ 20 อันดับแรกเป็นอย่างน้อย
นอกจากนี้ การดำเนินการไปสู่เป้าหมายมีความท้าทายจากการที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเติบโตต่ำมามากกว่าหนึ่งทศวรรษ อยู่ท่ามกลางความผันผวนเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า มีข้อจำกัดฐานะทางการคลังมากขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า เวลาพูดถึงศูนย์กลางทางการเงินมักหมายถึง เมืองหรือประเทศที่สามารถดึงดูดให้สถาบันการเงิน สถาบันการลงทุนจำนวนมาก ทั้งสถาบันระดับภูมิภาคและระดับโลก เข้ามาลงทุนและใช้เป็นศูนย์กลางในการทำธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนระหว่างประเทศ และ หากต้องการเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกระดับต้นๆควรต้องมีสินทรัพย์ของสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 200% ของจีดีพี
สำหรับความท้าทายของไทยในการนำพากรุงเทพฯสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ประกอบด้วย