นางสาวพีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Media briefing เรื่อง การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตาม "พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568" หรือ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ 2ธ.ค.2568 หรือ 180วันหลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5มิ.ย.2568
ภายใต้พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯฉบับนี้จะต่างจากธุรกิจอื่น คือ ผู้ประกอบการเช่าซื้อและลีสซิ่งที่อยู่ภายใต้พ.ร.ฎ.ฉบับนี้จะเป็นระบบรายงานตัวโดยไม่ต้องขออนุญาตแต่จะเป็นระบบรายงานตัว เนื่องจากที่ผ่านมาธปท.ยังไม่ได้กำกับจึงต้องอาศัยข้อมูลจากผู้ประกอบการเข้ามาลงทะเบียนโดยทำโฟกัสกรุ๊ป (เพื่อเริ่มเห็นว่ามีเกณฑ์ใดที่ต้องปรับหรือออกประกาศบ้าง) สำหรับใช้ประกอบในการทำนโยบายและกำกับดูแล
เมื่อธปท.ออกกฎเกณฑ์มาจะมีสิ่งที่ต้องปฎิบัติตาม บางเรื่องธปท.จะบังคับใช้ทันที แต่บางเรื่องจะค่อยๆทยอยบังคับใช้เป็นเฟส เช่น การรายงานข้อมูลจะมีผลตั้งแต่เดือนธ.ค.2568แต่จุดแรกรายงานข้อมูลอาจจะเป็นปี 2570 เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมระบบ/ข้อมูล (จะมีข้อมูลเบื้องต้นก่อน ตอนมารายงานตัว แต่ระหว่างนั้นผู้ประกอบการสามารถจัดทำระบบข้อมูลของตัวเองเพื่อจะรายงานได้อย่างถูกต้อง
นางสาวพีรจิตกล่าวว่า เมื่อพรฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯมีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการที่จะอยู่ภายใต้กำกับมีประมาณ 3,000แห่ง(บวกลบ) โดยทั้งรายใหญ่รายเล็กทุกคนต้องเข้ามารายงานข้อมูลกับธปท. ไม่ยกเว้น
กรณีไม่ได้เข้ามาลงทะเบียนภายในกำหนดจะมีบทลงโทษปรับด้วย ซึ่งรายที่ไม่เข้ามารายงานตัวทางธปท.จะทำหนังสือแจ้งให้เข้ามารายงานตัว กรณีไม่ได้ประกอบธุรกิจแล้วก็ให้แจ้งกลับมายังะปท.
โดยผู้ประกอบการ 3,000ราย(เป็นข้อมูลที่ได้จากกรมพัฒนาธุรกิจกระทรวงพาณิชย์ และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อฯ เป็นรายใหญ่กับรายกลางราว 100ราย พอร์ตสินเชื่อต่อราย 1,000ล้านบาทมีประมาณ 60ราย, พอร์ต 100-1,000ล้านบาทมีประมาณ 150ราย และพอร์ตต่ำกว่า 100ล้านบาท
“ตอนนี้เรายังออกกฎเกณฑ์ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลเพราะเขาไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับ ข้อมูลที่ได้เราได้จากกรมพัฒนาธุรกิจและSurvey จากบริษัทใหญ่ แต่พอผู้ประกอบการเข้ามารายงานข้อมูลในระบบแล้วจะทำให้มีข้อมูลที่ดีขึ้น จะทำให้นโยบายธปท.ตอบโจทย์มากขึ้น”
สำหรับแนวทางในการกำกับของธปท.จะทำตามหลักการได้สัดส่วน(Proportionality) ถ้าบริษัทรายใหญ่เรื่องการตรวจสอบจะเข้มข้น เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะกระทบลูกค้าจำนวนมาก ส่วนรายเล็กจะใช้เทคโนโลยี่ในการกำกับตรวจสอบ/สุ่มตรวจว่า บริษัทปฎิบัติตามเกณฑ์หรือไม่ หรือโฆษณาถูกต้อง??หรือมีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคมากหรือน้อย ถ้าธปท.เห็นสัญญาณว่ามีปัญหาตรงไหนจะเข้าไปตรวจ
“ แผนงานสั้นๆ เพื่อให้กฎเกณฑ์ออกมาได้ในวันที่พ.ร.ฎ.มีผลบังคับใช้ 2ธ.ค.2568 โดยเดือนหน้าธปท.จะเริ่มทำโฟกัสกรุ๊ปกับผู้ประกอบการเพื่อรับทราบปัญหาหรือรับทราบข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น หรือความเห็นในการกำกับดูแลในอนาคต และกระบวนการทำนโยบายของธปท. ทั้งออกร่างเกณฑ์ ทำเฮียร์ริ่งเข้าคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน เป็นกระบวนการทำงานปกติ และประกาศกฎเกณฑ์ในวันที่ 3ธ.ค. 2568
สิ่งที่อยากเน้นย้ำกับผู้ประกอบการในรอบนี้อยากให้ติดตามข่าวสารของธปท. ขอให้ผู้ประกอบการทยอยเข้ามารายงานตัว โดยธปท.จะเปิดให้รายงานตัวประมาณ 6เดือน เฉลี่ย 500แห่งต่อวันจากผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายที่ประมาณ 3,000รายซึ่งน่าจะเริ่มเปิดระบบให้รายงานตัวในช่วงเดือนก.ย.(สิ้นสุดระยะเวลาการรายงานตัวไตรมาส1ปี2569)”
นางสาวพีรจิตกล่าวเพิ่มเติมในแง่การกำกับดูแลภายใต้พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ โดยระบุว่า มี 2วัตถุประสงค์ คือ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่เป็นธรรม ไม่ว่าเรื่องอัตราดอกเบี้ย เรื่องค่าธรรมเนียม การปรับโครงสร้างหนี้ และการรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน(Macro prudential ) หรือดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือนของประเทศไทย
ในแง่ประโยชน์จากการกำกับดูแลของธปท.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น สำหรับลูกค้า/ผู้ใช้บริการจะมีการคุ้มครองไม่ว่าการคิดอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีมาตรฐานเดียวกัน เป็นธรรมและโปร่งใส นอกจากนี้ข้อมูลต่างๆมีความชัดเจนซึ่งลูกค้าสามารถเปรียบเทียบและเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าและ
ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจนั้นจะมี 2ส่วนได้แก่ 1.การยกระดับมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนด้วยและ2.ทุกคนจะเข้ามาอยู่ภายใต้กำกับเดียวกันและมีการปฎิบัติที่เท่าเทียมกัน โดยสามารถมองเห็นข้อมูลและสามารถดูแลเสถียรภาพระบบการเงินได้ดีมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามขอบเขตของพ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ กำกับนิติบุคคลทุกชนิดที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่ง ยกเว้นผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับอื่นๆ เช่น พ.ร.บ.สถาบันการเงิน อยู่แล้ว เช่น ธนาคารพาณิชย์ กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐหรือ SFIs และสหกรณ์แท็กซี่
-ประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ (ดูภาพประกอบขอบเขตกำกับ)
วิธีการกำกับของธปท.คือ การกำหนดหลักเกณฑ์ กรณีต้องขออนุญาต /มีการเปลี่ยนแปลงหรือขอผ่อนผัน ที่ต้องแจ้งธปท.เพื่อเข้าไปตรวจสอบและสั่งให้ดำเนินการแก้ไข สิ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องหลักเกณฑ์ว่าธปท.จะกำหนดหลักเกณฑ์กำกับ
ซึ่งพ.ร.ฎกำหนดหน้าที่ ขอบเขตของธปท.ค่อนข้างชัดเจน ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม การกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องปิดเผยข้อมูล และการกำหนดหลักเกณฑ์ในแง่ของความคุ้มครองเช่น การให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม การคุ้มครองผู้บริโภคทั้งการให้บริการทางการเงินอย่างเป็นธรรม(Market Conduct) และการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม(RL)
ต่อข้อถามภายใต้กำกับดูแลของธปท.กังวลว่าสินเชื่อในอนาคตจะหดตัวนั้น นางสาวพีรจิตกล่าวว่า สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำ ธปท.กำกับธุรกิจนั้น ธปท.ดูความเหมาะสม ความเป็นไปได้ คือ เป็นการรักษาสมดุลของทุกส่วน ทั้งเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ การคุ้มครองผู้บริโภคและการอยู่รอดของผู้ประกอบธุรกิจด้วย เพราะเชื่อว่ายังมีความต้องการรถรยนต์ และรถจักรยานยนต์ ถ้าทำกฎเกณฑ์ให้ธุรกิจอยู่ไม่ได้ก็จะกระทบประชาชนในที่สุด
เพราะฉะนั้นนโยบายของธปท.จะดูความสมดุลทั้งลูกค้าทั้งผู้ประกอบการ ถามว่าสินเชื่อจะลดลงหรือไม่นั้น ถ้าลูกค้ามีคุณสมบัติเพียงพอสามารถชำระคืนหนี้ได้คงไม่เกิดเหตุการณ์สินเชื่อหดตัว เรากำลังพูดถึงลูกหนี้มีสินเชื่อและชำระสินเชื่อคืนได้ การมียอดขายเยอะแต่ถูกยึดรถเยอะไม่น่าจะเป็นสิ่งดี
สิ่งที่ธปท.กำกับดูแลคือทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าลูกค้าได้รับการดูแลและการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบดูความเหมาะสมให้ลูกหนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่เป้าหมายของธปท.อยากเห็นหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเกินไปค่อยๆลดลง อาจเป็นไปได้ที่จะเห็นสินเชื่อลดลง
ต่อข้อถามถึงบทบาทในการกำกับดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น นางสาวพีรจิตกล่าวว่า บทบาทในการกำกับต้องไปเคลียร์กับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)ต้องไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งเรื่องเพดานอัตราดอกเบี้ยนั้น สคบ.ออกประกาศเมื่อเดือนต.ค.2565 โดยจะมีการทบทวนทุก 3ปี
คือ จะครบกำหนด 3ปีในเดือนต.ค.2568นี้ ซึ่งในที่สุดเรื่องอัตราดอกเบี้ยน่าจะมาอยู่ภายใต้กำกับของทางธปท. แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม และไม่ส่สามารถตอบได้ว่าจะ “คง”หรือ “เปลี่ยนแปลง” โดยต้องพูดคุยกับผู้ประกอบการที่จะให้ข้อมูลกับธปท.