ธปท.เปิด 4 ความเสี่ยงเสถียรภาพการเงินไทย ที่ต้องจับตา

06 มิ.ย. 2568 | 05:32 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2568 | 05:32 น.

ธปท.แจงระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ  แต่ยังมีความเสี่ยงจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบาง ภาวะการเงินที่อาจดึงตัวมากขึ้นกระทบสภาพธุรกิจและครัวเรือน บริษัทขนาดใหญ่ก่อหนี้สูง เสี่ยงต่อระบบ และฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปี 2567 โดยระบุว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมยังคงมีเสถียรภาพที่ดีและสามารถสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งธนาคารพาณิชย์, สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ, ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) และสหกรณ์ออมทรัพย์ ต่างยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง แม้ว่าคุณภาพหนี้บางส่วนจะด้อยลงบ้าง แต่ภาพรวมยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไทยในระดับที่เหมาะสม

ขณะที่การลดลงของหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นสัญญาณที่ดีในการลดหนี้ (deleverage) ที่จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเสถียรภาพที่ดีในภาพรวม แต่ปัจจัยเสี่ยงจากหลายด้านยังคงมีผลกระทบต่อระบบการเงินไทยในอนาคต ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ในระหว่างที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในปี 2567 การเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินก็ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกและภายใน โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในระยะข้างหน้า อาทิ นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ปัญหาเชิงโครงสร้างของบางภาคธุรกิจ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาด 

นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงก็เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อหนี้ครัวเรือนยังมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และการใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลต่อเสถียรภาพของทั้งระบบการเงินและเศรษฐกิจ 

 

ธปท.ระบุว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก หรือความผันผวนของตลาดการเงินระหว่างประเทศ จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดไทย 

1.นักลงทุนในตลาดการเงินไทยมีความเปราะบางจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

เมื่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงจากปัจจัยต่างๆ เช่น การปรับตัวของนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก หรือปัญหาการฟื้นตัวที่ช้าในบางภาคธุรกิจ อาจทำให้เกิดการขายสินทรัพย์ที่ไม่คาดคิด ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ในตลาดลดลง และกระทบต่อฐานะทางการเงินของนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายย่อย

“หากมีเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปรับตัวลงของราคาสินทรัพย์ในต่างประเทศ (global asset price correction) หรือการเทขายสินทรัพย์จากความตื่นตระหนก (panic asset selling) จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดและเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว”


 2.ภาวะการเงินที่ตึงตัวในปี 2567

เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสภาพคล่องของทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งสะท้อนจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลงและการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่หดตัว โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินนี้ได้แก่ ความต้องการสินเชื่อที่ลดลง การชำระคืนหนี้ และความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้บางกลุ่ม 

การประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) รวมถึงการแข่งขันจากสินค้าจีนที่เข้ามาในตลาดไทย จะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงและหาตลาดทดแทนได้ยาก ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือน 

3.บริษัทขนาดใหญ่บางรายที่มีการก่อหนี้ในระดับสูง (highly leveraged large corporations: HLLCs)

เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับเสถียรภาพของระบบการเงินไทย แม้บริษัทขนาดใหญ่โดยรวมจะมีผลการดำเนินงานที่ดีและความสามารถในการชำระหนี้ที่สูง แต่การสะสมหนี้ในระดับสูงอาจทำให้บริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงในการรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

หากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าหรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ การชำระหนี้ของบริษัทเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินในระดับกว้าง 

“ความเสี่ยงที่สูงจากการก่อหนี้อาจทำให้เกิดการล้มละลายหรือความไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินและอาจทำให้เกิดปัญหาทางการเงินในวงกว้าง” 

 4.ภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวและการฟื้นตัวที่ช้า

โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งอุปสงค์ในกลุ่มนี้ลดลงตามกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนแอ นอกจากนี้ การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมายังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (developer) ที่เน้นพัฒนาอาคารชุดอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (reputation risk) และอุปทานคงค้างที่อาจระบายได้ยากขึ้นหากอาคารได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว การขาดความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบต่อการขายและการพัฒนาโครงการในอนาคต 

เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในระยะยาว ธปท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนความเสถียรของระบบการเงิน

ทั้งการเพิ่มสภาพคล่องเพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว การปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของสินเชื่อบัตรเครดิต และการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,103 วันที่ 8 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568