ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามในเวทีเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา หรือประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกาและเอเชีย ต่างก็เผชิญกับแรงกดดันจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งจากวิกฤตโควิด-19 สงครามในยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ไปจนถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 สัดส่วนหนี้สาธารณะเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ประมาณ 92% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากระดับก่อนเกิดโควิดในปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ราว 84%
หลายประเทศใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากการระบาดใหญ่ ซึ่งนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณเรื้อรังและการพึ่งพาการกู้ยืมมากขึ้น
มหาอำนาจกับภาระหนี้
สหรัฐอเมริกาในฐานะเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีหนี้สาธารณะทะลุ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในต้นปี 2025 คิดเป็นมากกว่า 120% ของ GDP แม้ว่ารัฐบาลจะยังสามารถกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่ต้นทุนทางการคลังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้การชำระดอกเบี้ยกลายเป็นภาระที่ใหญ่ขึ้นในงบประมาณรัฐบาล
หนี้เพิ่มเพราะต้องใช้จ่ายเพื่อเอาตัวรอด
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพยุงระบบสาธารณสุข เยียวยาประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจ การกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในหลายประเทศพุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น
ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หลายประเทศก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการคลังเช่นเดียวกัน มาเลเซีย มีระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 65% ของ GDP ขณะที่ ไทย มีหนี้สาธารณะทะลุ 61% ของ GDP ณ สิ้นปี 2024 แม้จะยังไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ แต่ก็ลดความยืดหยุ่นทางการคลังในการรับมือกับวิกฤตในอนาคต
ศรีลังกา: บทเรียนจากการล้มละลาย
หนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนความเปราะบางของการบริหารหนี้ในเอเชียได้อย่างชัดเจนคือ ศรีลังกา ที่ประกาศผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศในปี 2022 อันเป็นผลจากการบริหารจัดการงบประมาณผิดพลาด ขาดความโปร่งใส และการกู้ยืมจากต่างประเทศโดยไม่มีแผนชำระหนี้ที่ชัดเจน วิกฤตครั้งนั้นทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ขาดแคลนพลังงาน และวิกฤตทางการเมือง
กรณีของศรีลังกาเป็นสัญญาณเตือนสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียที่พึ่งพาเงินกู้จากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในการให้เงินกู้เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เงินกู้เหล่านี้อาจกลายเป็นกับดักหนี้ในระยะยาว
ความท้าทายของจีนและอินเดีย
แม้จะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ จีน และ อินเดีย ก็ไม่ได้รอดพ้นจากปัญหาหนี้สาธารณะ จีนมีหนี้สาธารณะในระดับรัฐบาลกลางไม่สูงมาก (ประมาณ 80% ของ GDP) แต่หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น โดยเฉพาะในรูปแบบ “บริษัทการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น” (LGFVs) เป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ และอาจกลายเป็นวิกฤตได้หากเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
อินเดียในทางกลับกัน มีหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นรวมกันกว่า 85% ของ GDP โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ภายในประเทศ แม้รัฐบาลจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างระมัดระวังมากขึ้นในช่วงหลัง แต่ภาระในการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังคงกดดันงบประมาณของรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทางออกของวิกฤตหนี้ในเอเชีย ไม่ได้อยู่ที่การเลิกกู้ยืมโดยสิ้นเชิง หากแต่อยู่ที่ “การกู้ที่มีคุณภาพ” และการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศในเอเชียต้องให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณ การเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม การจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่าย และการลงทุนในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนในระยะยาว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,095 วันที่ 11 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568