มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ" ขณะที่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Baa1 เนื่องจากเล็งเห็นความเสี่ยงที่ศักยภาพทางเศรษฐกิจและฐานะการคลังของไทยจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ที่อาจกระทบการส่งออกและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าอยู่แล้ว
นายจีน ฟาง รองกรรมการผู้จัดการ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ เปิดเผยว่า การปรับมุมมองดังกล่าวสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการเก็บภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ประกาศไปแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกับเศรษฐกิจแบบเปิดอย่างประเทศไทย
"ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับไทยและประเทศอื่นๆ หลังจากช่วงหยุดชั่วคราว 90 วันสิ้นสุดลงหรือไม่ ความไม่แน่นอนนี้ยิ่งซ้ำเติมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวอยู่แล้วหลังโควิด-19 และเสี่ยงที่จะทำให้แนวโน้มการลดลงของศักยภาพการเติบโตรุนแรงขึ้น" นายจีนกล่าว
ข้อมูลจาก OECD ล่าสุดระบุว่า มูลค่าเพิ่มในประเทศของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 3% ของ GDP ในปี 2563 นอกจากนี้ ไทยยังอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าในภูมิภาคที่ป้อนวัตถุดิบให้การส่งออกของประเทศอื่น
มูดี้ส์คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะกระทบความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ทำให้การลงทุนในหลายประเทศรวมถึงไทยชะลอตัว โดยอ้างอิงจากช่วงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปี 2561-2562 ที่ส่งผลให้การเติบโตของ FDI และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของไทยในปี 2562 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อเร็วๆ นี้ที่ส่งผลกระทบต่อไทย ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านลบต่อการเติบโตของไทย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยอาจทำให้นักท่องเที่ยวลดลงในระยะหนึ่ง ซ้ำเติมการชะลอตัวของการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ความปลอดภัยอื่นเมื่อต้นปี
มูดี้ส์ได้ปรับลดประมาณการการเติบโต GDP ของไทยเหลือประมาณ 2% ในปี 2568 จากเดิมที่คาดไว้ 2.9% เมื่อหกเดือนก่อน โดยย้ำว่าตัวเลขที่ปรับลดนี้ยังมีความเสี่ยงด้านลบ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่
สถาบันจัดอันดับยังเน้นย้ำว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยเพิ่มความเสี่ยงต่อฐานะการคลังที่อ่อนแอลงแล้วตั้งแต่โควิด-19 โดยภาระหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นประมาณ 22 จุด เป็นราว 56% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2567 จากปีงบประมาณ 2562
อย่างไรก็ตาม มูดี้ส์ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ Baa1 โดยพิจารณาจากความแข็งแกร่งของสถาบันและธรรมาภิบาลระดับปานกลางที่สนับสนุนนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง ประกอบกับความสามารถในการชำระหนี้ที่ยังค่อนข้างดี สะท้อนจากดอกเบี้ยจ่ายที่คิดเป็นประมาณ 6% ของรายได้รัฐบาล ต่ำกว่าค่ามัธยฐานประมาณ 10% สำหรับประเทศที่มีอันดับ Baa
นอกจากนี้ ไทยยังมีฐานะภายนอกที่แข็งแกร่ง โดยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 215 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ มีนาคม 2568 เพียงพอครอบคลุมการนำเข้าประมาณ 7 เดือน ซึ่งชี้ว่ายังมีพื้นที่เพียงพอก่อนที่ความเพียงพอของทุนสำรองจะกลายเป็นแหล่งความเสี่ยง
มูดี้ส์ระบุว่า มุมมองอาจปรับกลับเป็น "มีเสถียรภาพ" หากไทยแสดงความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกที่ดีกว่าคาด โดยมีการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์ด้านการคลังดีขึ้น
ขณะที่ปัจจัยที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับ ได้แก่ การอ่อนแอลงเพิ่มเติมของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การเติบโตเศรษฐกิจที่อ่อนแอต่อเนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล แนวโน้มที่ภาระหนี้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายปี หรือความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจนทำให้สถาบันอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ