หนี้สาธารณะกับความมั่นคงทางการคลัง 79% กู้เพื่อลงทุน

11 พ.ค. 2568 | 01:04 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ค. 2568 | 01:04 น.

หนี้สาธารณะ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องภาระในอนาคต แต่หากมีการบริหารจัดการที่ดี มีวินัย และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน หนี้สาธารณะจะกลายเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

“หนี้สาธารณะ” หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของนโยบายการคลังที่ภาครัฐใช้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาโดยตลอด แม้ว่าการก่อหนี้จะมีข้อกังวลเรื่องภาระในอนาคต แต่หากมีการบริหารจัดการที่ดี มีวินัย และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน หนี้สาธารณะจะกลายเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สถานการณ์ปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกา แต่การคลังไทยยังมีความมั่นคง ระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง 

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ฉายภาพสถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยว่า ปัจจุบันยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ยอดหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 12.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.42% ของจีดีพี

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)

 

หนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของจีดีพี

ทั้งนี้ โครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ 99.11% แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลโดยตรง 89.20%, หนี้รัฐวิสาหกิจ 8.73%, หนี้รัฐวิสาหกิจในภาคการเงิน (ที่รัฐบาลค้ำประกัน) 1.35%, และหนี้ของหน่วยงานรัฐอื่น 0.73% โดยที่สัดส่วนหนี้ระยะยาวครองสัดส่วนมากถึง 87.27% สะท้อนถึงการบริหารหนี้ที่มุ่งเน้นความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านการเงินในระยะสั้น 

 

นอกจากนั้น ในการกู้เงินของภาครัฐกว่า 79% เป็นไปเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า และระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งโครงการเหล่านี้มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นนั้น ตัวเลขหนี้รัฐบาลของไทยตามนิยามของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อยู่ที่ 58.76% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศในภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น (234.86%) มาเลเซีย (70.08%) และฟิลิปปินส์ (58.14%) 

“การกู้เงินของรัฐบาลหรือการก่อหนี้สาธารณะยังคงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเราทุกคน พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ"

กระทรวงการคลังยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อสนับสนุนการลงทุนและดำเนินมาตรการทางการคลังภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งชำระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบวินัยทางการคลัง

สำหรับงบประมาณปี 2568 นี้ สบน.ได้รับจัดสรรงบชำระหนี้เงินกู้ที่กำหนดเพดานไว้สูงสุด 4% วงเงินรวม 4.1 แสนล้านบาท โดยรวมการชำระหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจเข้าไปด้วยคือ งบชำระหนี้เงินต้น 1.5 แสนล้านบาทแบ่งเป็น ภาระหนี้กระทรวงการคลัง 1.14 แสนล้านบาทและรัฐวิสาหกิจอีก 3.5 หมื่นล้านบาท

ส่วนงบชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 2.6 แสนล้านบาทแบ่งเป็น ภาระหนี้กระทรวงการคลัง 2.41 แสนล้านบาทและรัฐวิสาหกิจอีก 1.8 หมื่นล้านบาท 

หนี้สาธารณะกับความมั่นคงทางการคลัง 79% กู้เพื่อลงทุน

ด้านอัตราส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาล อยู่ที่ 9% ยังอยู่ในกรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่เกิน 11% ถือว่า ประเทศไทยมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ตามกรอบกฎหมาย

สบน.มีบทบาทหลักในการกำกับ ดูแล และดำเนินการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการก่อหนี้ ค้ำประกัน ปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนการติดตามและประเมินผล เพื่อให้การกู้เงินของรัฐบาลเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคม

ส่วนปัจจุบันที่มีปัจจัยลบจากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกานั้น สบน.ประเมินว่า หากจีดีพีปีนี้ปรับลดมาอยู่ที่ 2% หนี้สาธารณะจะแตะเพดาน 70% ในปี 2570 และหากจีดีพีลงมาถึงระดับ 1.5% หนี้สาธารณะจะเกิน 70% ในปี 2570 ซึ่งเรียนว่า หากสถานการณ์อยู่ในบริบทดังกล่าว การบริหารจัดการหนี้ธารณะจะไม่มีปัญหา และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณการขยายเพดานหนี้สาธารณะ 

สำหรับสบน.นั้น ดำเนินภารกิจภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน โดยรัฐบาลสามารถกู้เงินได้ใน 6 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ, บริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง, พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, ปรับโครงสร้างหนี้, ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ, และพัฒนาตลาดตราสารหนี้ 

ทั้งนี้ ในภาวะปกติ รัฐบาลใช้กลไกการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการลงทุนระยะยาว ขณะที่ในภาวะวิกฤต เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ตรากฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วน 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารหนี้มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในระยะยาว สบน. ได้กำหนดแนวทางสำคัญไว้ ได้แก่ การระดมทุนจากในประเทศเป็นหลัก พร้อมกระจายประเภทตราสารหนี้และฐานนักลงทุน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการระดมทุน และลดแรงกดดันต่อตลาด 

ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น พันธบัตรเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Bond), พันธบัตรออมทรัพย์, Amortized Bond และ T-bill ที่มีความสม่ำเสมอ ลดการใช้ตราสารหนี้ดอกเบี้ยลอยตัว เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนั้นยังได้เตรียมแผนสำรองผ่านแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงแหล่งเดียว โดยการกู้แบบ “Project Loan” ยังเอื้อต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากต่างประเทศด้วย

 ทั้งนี้ สบน. ยังได้จัดทำกลยุทธ์บริหารหนี้ระยะปานกลาง (Medium-Term Debt Management Strategy) ซึ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้การบริหารหนี้ของไทยเป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใสและยั่งยืน

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,095 วันที่ 11 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568