สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคม 2568 ติดลบ 0.76% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนกันยา ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานบวก 0.61% (หลังหักอาหารสดและพลังงาน) เมื่อรวม 10เดือนปีนี้(ม.ค.-ต.ค.68) เงินเฟ้อลดลง 0.09%
ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในอีก 2 เดือนที่เหลือปีนี้ ยังติดลบต่อเนื่อง ทำให้ทั้งปีอาจขยายตัวติดลบ ซึ่งต่ำกว่าเป้าคาดการณ์ไว้ที่ 0.0%
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัดเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(CPI) เดือนตุลาคมหดตัวมากกว่าที่เราและตลาดคาดที่ -0.5% จาก -0.72% เดือนก่อน
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI)ขยายตัว 0.61%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.65% และชะลอลงจาก 0.65% ในเดือนก่อน เป็นชะลอลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลงต่อเนื่อง
เราคาดว่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มหดตัวต่อในช่วงที่เหลือของปี จากราคาน้ำมัน การแข่งขันด้านราคา ต้นทุนสินค้านำเข้าที่ลดลงจากราคาส่งออกของจีน ราคาผักและผลไม้ที่ลดลง
รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ต่อเนื่อง เช่น การลดค่า Ft งวด ก.ย.-ธ.ค. เหลือ 15.72 สตางค์ และการลดราคาน้ำมันดีเซล-เบนซินลิตรละ 50 สตางค์ และอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลงจากภาวะเศรษฐกิจ
เรามองว่า เงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% อย่างชัดเจนประกอบกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอและมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมลงสู่ระดับ 1.25% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม 8 ใน 9 องค์ประกอบหลักของสัญญาณ “เงินฝืด” ส่วนใหญ่ติดลบมากขึ้น เช่น อาหารเครื่องดื่ม เสื้อผ้ารองเท้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านเฮลแคร์ การขนส่ง-การสื่อสาร ยาสูบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม และพลังงานจากอาหารดิบ เหล่านี้ สะท้อนสัญญาณของการกระจายตัวแล้ว ยกเว้น การบริการที่ดีขึ้น อาทิ การอ่านเพื่อการพักผ่อนและการศึกษา
ส่วนแนวโน้มปีนี้เบื้องต้นมองเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะติดลบทั้งปี และมีความเป็นไปได้ที่จะติดลบมากกว่าประเมินไว้ที่ - 0.12% มาจากกำลังซื้อในประเทศค่อนข้างซึม หรือการส่งออกจากจีน/ราคาพลังงาน โดยเงินเฟ้อที่ติดลบเป็นผลจากทั้งดีมานด์และซัพพลาย (อุปสงค์และอุปทาน)
นอกจากนี้ ในช่วง 10เดือนของปีนี้ ปริมาณเงินในระบบของไทยล่าสุดในเดือนก.ย.ปริมาณเงินของไทยเติบโต 4% มาเลเซียเติบโต 4.4% ไต้หวันโต 15.3% อเมริกา 4.5% ออสเตรเลียเติบโต 7.3% อินโดนีเซีย 8% จีน 8.4% ซึ่งปริมาณเงินของไทยไทยต่ำกว่า อังกฤษและยุโรปเพราะทั้ง 2ประเทศทำนโยบายการเงินตึงตัว(QT)
ดร.ปิยศักดิ์กล่าวอีกว่า ปีหน้าภาพสงครามการค้าจะชัดเจนขึ้นและภาพเศรษฐกิจไทยจะยิ่งแย่เป็นขาลงแล้ว โดยหลายสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีหน้า เช่น ล่าสุด(30ต.ค.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับคาดการณ์ปีนี้จีดีพีเติบโต 2.2% ปีหน้าจะเหลือโต 2.0% บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ของเราปีนี้คาดว่าจีดีพีจะโตได้ 1.8% ปีหน้าจะโตเหลือ 1.4%
“เมืองไทยไม่มีประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ มีความเสี่ยงจะกลายเป็นเงินฝืดด้วยซ้ำ และค่าเงินบาทยังแข็งค่ากว่าที่อื่น ถ้าย้อนหลังเทียบ 13-14ปี(ตั้งแต่ปี2011) เงินบาทแข็งค่ากว่า 30%"
ด้วยภาพเหล่านี้ไทยน่าจะผ่อนคลายได้มากขึ้น โดยเฉพาะการสอดประสานระหว่างนโยบายการเงิน กับนโยบายการคลัง ฉะนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบลดดอกเบี้ยนโยบายและผ่อนคลายมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อน่าจะทำได้
ดังนั้น ในระยะต่อไป ต้องสอดประสานนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังมากขึ้น โดยช่วงนี้นโยบายการคลังจะทำได้เพียงส่วนหนึ่ง เพราะนอกจากมีความเสี่ยงด้านฐานะทางการคลัง และเครดิตเรทติ้งแล้ว รัฐบาลปัจจุบันมีกรอบเวลาทำงานระยะสั้น จึงไม่สามารถผลักดันโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,147 วันที่ 9 - 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568