KEY
POINTS
รายงานข่าว (5 พ.ย. 2568) จากที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 เปิดเผยว่า กกร.ได้ปรับประมาณการการส่งออกไทยปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 9.5-10.5% จากเดิมที่คาดไว้เพียง 2-3% หลังจากตัวเลขการส่งออก 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตสูงถึง 14% แต่ยังเป็นสินค้าที่มี Local Content ต่ำ และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจโดยตรง
“การส่งออกไทยที่ขยายตัวสูง สะท้อนปัญหา Transshipment และวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนของไทย ไม่ได้มีส่วนร่วมผลิตเท่าที่ควร จึงไม่ส่งผลต่อ GDP อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย"
ขณะที่คงกรอบคาดการขยายตัวจีดีพีทั้งปีไว้ที่ 1.8-2.2%ไว้ตามเดิม และปรับกรอบเงินเฟ้อใหม่จากเดิมคาดไว้ที่ 0.5-1% เป็น -0.1ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่ลดลง และอัตราเงินเฟ้อไทยยังติดลบต่อเนื่องใน 6 เดือนที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ทำให้ IMF ปรับคาดการณ์ GDP โลกปี 2568 ขึ้นเป็น 3.2% จากเดิม 3.0% แต่การส่งออกที่โตแรงไม่ได้ช่วยหนุน GDP ไทยเต็มที่ เนื่องจากสัดส่วน Local Content ของสินค้าส่งออกยังต่ำ
ด้านตลาดแรงงาน กกร.ชี้ว่าเป็นปัจจัยท้าทาย เผยอัตราว่างงานระบบประกันสังคมในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี โดยเฉพาะแรงงานอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันต่างประเทศ รวมถึงแรงงานนอกระบบที่สูงขึ้นหลังโควิด ส่งผลต่อผลิตภาพแรงงาน
ทั้งนี้ กกร.ปรับกรอบเงินเฟ้อปี 2568 ลงเหลือ -0.1% ถึง 0.1% จากเดิมคาด 0.5-1% โดยได้รับอานิสงส์จากราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง และแนะนำให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 พร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และโครงการ Made in Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล เพื่อหนุนเศรษฐกิจโตใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.5%
นอกจากนี้ กกร.รายงานความคืบหน้าโครงการแก้ไขหนี้ครัวเรือนร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) โดยใช้ โมเดล Debtor Centric ผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) ครอบคลุมลูกหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท 3.4 ล้านราย มูลหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพลูกหนี้และรวมประเภทหนี้ทั้งหมดเพื่อให้สามารถเข้าสู่ระบบตลาดปกติ
ขณะเดียวกัน กกร.ให้ความสำคัญกับโครงการ “Reinvent Thailand” ขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เกษตร-อาหาร, ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, สุขภาพและการแพทย์, ท่องเที่ยว และค้าปลีก โดยเน้นสร้าง Supply Chain แข็งแรงและสนับสนุน SMEs ผ่านกลไก “พี่ช่วยน้อง”
ด้านกฎหมาย กกร.แสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบอย่างเป็นระบบ (RIA) เช่น ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และร่าง พ.ร.บ.โรงงาน เพราะอาจเพิ่มต้นทุน SMEs ลดความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ กกร.จึงเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส และจัดทำ RIA ตามมาตรฐานสากล
ในทางกลับกัน กกร.สนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายและระบบราชการ เช่น ร่าง พ.ร.บ.ยกระดับการบริหารงานภาครัฐ และร่าง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและให้บริการประชาชน พร้อมมาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ