ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด (Deflation) ณ ปัจจุบันว่า ‘ยังอยู่ในระดับต่ำ’ แม้ว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม เนื่องจากเงินเฟ้อที่ต่ำนั้นถูกขับเคลื่อนจากราคาของสินค้าที่ลดลงในเพียง ‘บางหมวด’ เท่านั้น
โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสด(ผัก ผลไม้) ตามสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยชั่วคราวและด้านอุปทาน (supply side) ไม่ได้เกิดจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
ขณะเดียวกัน การลดลงของราคาไม่ได้ปรับลดลงต่อ เนื่องเป็นวงกว้าง หากราคาลดลงอย่างต่อเนื่องและเป็นวงกว้าง จะสะท้อนถึงการชะลอการบริโภคของประชาชน
นอกจากนั้น เครื่องชี้แรงกดดันด้านราคา(underlying inflation indicators) เช่น Sticky Price CPI หรือ Trimmed mean ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะถัดไป ยังคงทรงตัวใกล้เคียงกับในอดีต และไม่เห็นการหักหัวลง เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวได้ดี (anchored) โดยอยู่ที่ประมาณ 1.5% ซึ่งยังอยู่ในเป้าหมายนโยบายการเงินที่ 1-3%
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังคงติดตามและประเมินความเสี่ยงของเงินฝืดอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด โดยเฉพาะการจับตาสัญญาณว่าการลดลงของราคาจะขยายตัวเป็นวงกว้างและต่อเนื่องหรือไม่
สำหรับนโยบายหลักในการรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ รวมถึงความเสี่ยงเงินเฟ้อต่ำและเงินฝืด คือ การรักษาระดับนโยบายการเงินให้อยู่ในระดับผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนแนวโน้มของเศรษฐกิจ
ในช่วงที่ผ่านมา มีการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง นับตั้งแต่ต้นปี เพื่อรองรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และเพื่อดูแลภาวะการเงินให้เอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ซึ่งคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อคาดการณ์ล่วงหน้า (Ex-ante Inflation) ยังคงอยู่ในโซนติดลบ
สะท้อนว่า นโยบายยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)พร้อมจะปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ (Outlook) ต่อไป โดยต้องให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถที่อาจมีจำกัด
อย่างไรก็ดี ธปท.ตระหนักดีว่า นโยบายการเงินแบบทั่วไป(อัตราดอกเบี้ย) อาจมีประสิทธิผลน้อยลง หรืออาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ โดยเฉพาะปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาที่เกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน จึงจำเป็นต้องใช้ ‘มาตรการเฉพาะจุด (Targeted Measures)’ ควบคู่กันไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่านนโยบายการเงินได้ตรงจุดและได้ในระดับที่มากกว่า เมื่อเทียบกับการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเปราะบาง
“หากความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน (เช่น เกิดการลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง) เครื่องมือด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีประสิทธิผลมากขึ้นในการดูแลปัญหานี้ และกรรมการส่วนหนึ่งเห็นว่า การผ่อนคลายเพิ่มเติมอาจช่วยสนับสนุนอุปสงค์และเงินเฟ้อได้บ้าง”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่กดดันเศรษฐกิจและทำให้รายได้ขยายตัวช้า ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง (เช่น การแข่งขันสูงขึ้น หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป) การแก้ปัญหาจึงต้องใช้การผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายหลายอย่าง (Policy mix) และเน้นการยกระดับศักยภาพของธุรกิจในระยะยาว ควบคู่ไปกับการทำงานของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,143 วันที่ 26 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568