net-zero

วันอาหารโลก 2025 โลกร้อน–สงคราม–เงินเฟ้อซ้ำเติมคนหิวโหย

In Brief

  • วิกฤตโลกร้อน ความขัดแย้งทางการเมือง และภาวะเงินเฟ้อ เป็นปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารทั่วโลก ทำให้ประชากรราว 700 ล้านคนยังคงเผชิญกับความหิวโหย
  • ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะทำให้ผลผลิตพืชลดลงถึง 35% ภายในปี 2050 ขณะที่ราคาอาหารทั่วโลกยังคงสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึงสามเท่า
  • วันอาหารโลกปี 2025 ภายใต้ธีม “ร่วมมือกันเพื่ออาหารที่ดีกว่า และอนาคตที่ดีกว่า” เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันลงทุนในเกษตรกรรมที่ยืดหยุ่นและนวัตกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร

วันอาหารโลก (World Food Day) จัดขึ้นครั้งแรกโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เมื่อปี ค.ศ. 1979 โดยกำหนดวันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันก่อตั้ง FAO ในปี ค.ศ. 1945

จุดประสงค์หลักคือเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการลงมือแก้ปัญหาความหิวโหยและภาวะทุพโภชนาการที่ยังคงมีอยู่ในประชากรจำนวนมากทั่วโลก กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันอาหารโลกจึงเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ FAO ในการพัฒนาวิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริม “ความมั่นคงทางอาหาร” ให้กับทุกคนบนโลก

หัวใจสำคัญของวันอาหารโลก คือการทำให้ระบบอาหารและเกษตรกรรมมีความยืดหยุ่นต่อวิกฤตที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภัยธรรมชาติ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ภารกิจของ FAO มุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตทางอาหารอย่างยั่งยืน พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ลดการสูญเสียอาหาร และปรับปรุงคุณภาพโภชนาการ

ทำไมวันอาหารโลกจึงมีความสำคัญ

รายงานประจำปี 2025 ของ FAO ระบุว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะความหิวโหยทั่วโลกลดลงอย่างช้า ๆ จาก 8.7% ของประชากรโลกในปี 2022 เหลือ 8.2% ในปี 2024 หรือประมาณ “หนึ่งในสิบสองคน” ซึ่งเท่ากับประชากรราว 700 ล้านคนที่ยังเผชิญความหิวโหย ขณะเดียวกันกว่า 2.3 พันล้านคน หรือมากกว่าหนึ่งในสี่ของประชากรโลก ประสบภาวะ “ความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับปานกลางถึงรุนแรง” และมีเพียง 34% ของเด็กอายุ 6–23 เดือนที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามเกณฑ์วิตามินและแร่ธาตุขั้นต่ำ

นอกจากนี้ ระบบอาหารทั่วโลกยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยภาคอาหารคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของการปล่อยทั่วโลก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการละเมิด “ขีดจำกัดของโลก” (planetary boundaries) ทั้งห้าประการ ตามรายงานล่าสุดของคณะกรรมาธิการ EAT-Lancet

แม้เวลาผ่านไปห้าปีหลังการระบาดใหญ่ ราคาสินค้าอาหารทั่วโลกยังคงสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึงสามเท่า ขณะเดียวกัน การผลิตอาหารและสินค้าเกษตรได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจทำให้ผลผลิตพืชตกลงถึง 35% ภายในปี 2050 ตามการวิเคราะห์ของ Boston Consulting Group และจะส่งผลให้ภาวะทุพโภชนาการในชุมชนเปราะบางเพิ่มขึ้นอีกราว 20%

FAO เตือนว่าแนวโน้มนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศรายได้น้อยมากที่สุด แม้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และอเมริกาใต้จะมีความก้าวหน้า แต่ในหลายพื้นที่ทั่วโลกกลับสวนทาง ภาวะขาดสารอาหารในแอฟริกาเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปี 2024 และเพิ่มขึ้น 12.7% ในเอเชียตะวันตก

ธีมวันอาหารโลกปีนี้

ธีมวันอาหารโลกปี 2025 คือ “ร่วมมือกันเพื่ออาหารที่ดีกว่า และอนาคตที่ดีกว่า” (Hand in Hand for Better Foods and a Better Future) FAO เน้นว่า การขจัดความหิวโหยและภาวะทุพโภชนาการให้หมดไป จำเป็นต้องอาศัยการลงมือร่วมกันของทุกภาคส่วนและทุกช่วงวัย โดยเฉพาะการแก้ไข “ความไม่สมดุลของโลก” ที่บางพื้นที่ยังขาดแคลนอาหาร ขณะที่อีกหลายประเทศเผชิญปัญหาโรคอ้วนและการสูญเสียอาหารจำนวนมาก

ปีนี้ FAO คาดว่าจะมีการดำเนินกิจกรรมในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก เพื่อเชิญชวนรัฐบาล ภาคธุรกิจ องค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วโลก มาร่วมสร้างอนาคตที่มั่นคงและปลอดภัยด้านอาหาร โดย FAO ระบุว่าวันอาหารโลกเป็น “หนึ่งในวันสำคัญที่สุดของปฏิทินสหประชาชาติ”

ความไม่มั่นคงทางอาหารคืออะไร และทำไมจึงรุนแรงขึ้น

“ความมั่นคงทางอาหาร” หมายถึงภาวะที่ทุกคนมีอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ส่วน “ความไม่มั่นคงทางอาหาร” หมายถึงภาวะตรงข้าม โดยเฉพาะ “ความไม่มั่นคงทางอาหารเรื้อรัง” คือการขาดอาหารในระยะยาวจนส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิต ขณะที่ “ความไม่มั่นคงทางอาหารเฉียบพลัน” คือการขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรงที่เป็นภัยต่อชีวิต

ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 การผลิตอาหารต่อหัวทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากการใช้ปุ๋ยและระบบชลประทาน แต่ในปัจจุบันระบบอาหารทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันรุนแรง ซึ่งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ว่าเป็นผลจากทั้งจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ความขัดแย้งทางการเมือง ภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบจากโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูง เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดบ่อยขึ้น และรูปแบบฝนเปลี่ยนไป

รายงานของ IPCC เตือนว่า ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลต่อสุขภาพของพืชผลและศักยภาพในการเพาะปลูกแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่แห้งแล้งของแอฟริกา และพื้นที่ภูเขาสูงของเอเชียและอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นจุดเปราะบางต่อความมั่นคงทางอาหารมากที่สุด

เกษตรกรรมจึงเป็นหัวใจของการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับทุกคน รายงานล่าสุดของสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ระบุว่า งบประมาณภาครัฐทั่วโลกที่ใช้ในภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเป็นสถิติสูงสุดกว่า 700 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 หรือเติบโตเฉลี่ย 2% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2015

อย่างไรก็ตาม ในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด งบประมาณด้านนี้ยังคิดเป็นเพียง 4% ของงบทั้งหมด ทั้งที่ภาคเกษตรสร้างรายได้คิดเป็นราว 18% ของ GDP

นอกจากเกษตรกรรมแล้ว ภาคประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็เผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการทำประมงเกินขนาด

แนวทางรับมือกับปัญหาความหิวโหยและภาวะโภชนาการ

FAO เรียกร้องให้มี “ความร่วมมือระดับโลก” ควบคู่กับ “การดำเนินการเชิงนโยบายเฉพาะประเทศ” เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนของระบบอาหารทั่วโลก

แนวทางที่ FAO เสนอให้รัฐบาลแต่ละประเทศดำเนินการ ได้แก่

  • สนับสนุนการเข้าถึงอาหารของกลุ่มเปราะบาง และใช้นโยบายการใช้จ่ายภาครัฐเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างเสถียรภาพตลาด
  • ปรับนโยบายการค้าลดข้อจำกัด เช่น การห้ามส่งออก เพื่อให้ตลาดอาหารโลกทำงานต่อเนื่อง
  • ลงทุนในระบบข้อมูลและฐานข้อมูล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ
  • แก้ปัญหาราคาอาหารสูง ด้วยการลงทุนในเกษตรกรรมที่มีความยืดหยุ่น การวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน

ทั้งนี้ เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ยังผลักดัน “โครงการศูนย์นวัตกรรมอาหารระดับโลก” (Food Innovation Hubs Global Initiative) เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีที่ครอบคลุม เท่าเทียม และยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาแนวทางในสามด้านหลัก ได้แก่ “AI เพื่อระบบอาหารที่เท่าเทียม”, “วัตถุดิบอาหารที่หลากหลาย” และ “ระบบอาหารที่จัดการน้ำอย่างชาญฉลาด” โครงการนี้ขับเคลื่อนโดยเครือข่าย Food Innovators Network (FIN) ซึ่งมีผู้นำกว่า 250 คนทั่วโลก ร่วมสร้างนวัตกรรมด้านอาหารที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งคนและโลกอย่างแท้จริง