ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ดอกเบี้ยแบงก์ลง กระทบ NIM แต่ช่วยลดต้นทุนของลูกหนี้

16 พ.ค. 2568 | 02:43 น.
อัปเดตล่าสุด :16 พ.ค. 2568 | 02:57 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าแบงก์จะเร่งปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงอีกในช่วงที่เหลือของปี 2568 ท่ามกลางแนวโน้มของ NIM ที่ยังลดลงต่อตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศในครึ่งปีหลัง

หลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. เมื่อปลายเดือนเม.ย. 2568 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-SIBs หลายแห่งเริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลงในกรอบ 0.05-0.15%

ซึ่งรูปแบบของการปรับดอกเบี้ยของแบงก์ในรอบนี้เป็นการปรับลดดอกเบี้ย 2 ขา โดยธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทั่วไปบางตัวลงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเช่นกัน

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ([email protected])ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า  หากมองย้อนกลับไปที่การลดดอกเบี้ยของ กนง. 3 รอบที่ผ่านมา (เดือนต.ค. 2567 เดือนก.พ. 2568 และเดือนเม.ย. 2568) พบว่ามีการทยอยส่งผ่านมายังอัตราดอกเบี้ยและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM: Net Interest Margin) ในระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ

หรือระบบแบงก์ไทย เพราะแม้ผลในด้านหนึ่งจากการปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการระดมเงินฝากลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กดดันให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อลดลงตามไปด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะในช่วงที่อานิสงส์จากการปล่อยสินเชื่อใหม่ยังมีจำกัดตามสัญญาณอ่อนแอของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (รูปที่ 1)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ดอกเบี้ยแบงก์ลง กระทบ NIM  แต่ช่วยลดต้นทุนของลูกหนี้

• NIM ระบบแบงก์ไทยที่ชะลอลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นั้น สะท้อนผลจากต้นทุนเงินฝากที่ขยับลงช้ากว่าผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ เพราะอานิสงส์จากการปรับลดดอกเบี้ยจะทยอยมีผลต่อการรับรู้ต้นทุนเงินฝากตามรอบการครบกำหนดของระยะเวลาฝากเงิน

โดยจากโครงสร้างพอร์ตเงินฝากของระบบแบงก์ไทย (รูปที่ 2) เป็นที่น่าสังเกตว่า ยอดเงินรับฝากในสกุลเงินบาทส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 69% ของเงินรับฝากโดยรวม

อย่างไรก็ดี ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์มีการปรับลดลงค่อนข้างน้อยในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ต้นทุนการระดมเงินฝากมักจะขยับตามรอบของเงินฝากประจำ โดยเงินฝากประจำระยะไม่เกิน 3 เดือน, ระยะ 3-6 เดือน และระยะ 6-12 เดือน มีสัดส่วนประมาณ 5%, 3% และ 17% ตามลำดับ

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปมองภาพรวมการปรับดอกเบี้ยของแบงก์ตามรอบการปรับดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ระหว่างเดือนต.ค. 2567-เม.ย. 2568 จะพบว่า การปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก มีช่วงเวลาที่หน่วงและช้ากว่าการปรับลดดอกเบี้ยในฝั่งเงินกู้อยู่ประมาณ 1 รอบ

•ทั้งนี้ เมื่อรวมผลของการปรับลดดอกเบี้ย 2 ขาของธนาคารพาณิชย์ในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า NIM ของระบบแบงก์ไทยมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2/2568 มาอยู่ที่ 2.83% จาก 2.92% ในไตรมาสที่ 1/2567 (รูปที่ 1)

และคาดว่า NIM ยังมีโอกาสลดลงต่อเนื่องไปอยู่ที่ระดับประมาณ 2.75% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ภายใต้สมมติฐานที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศอาจปรับลดลงอีก 1 ครั้งเพื่อช่วยประคองแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่การฟื้นตัวของสินเชื่อในภาพรวมยังต้องใช้เวลา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ดอกเบี้ยแบงก์ลง กระทบ NIM  แต่ช่วยลดต้นทุนของลูกหนี้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจะเห็นธนาคารพาณิชย์เร่งปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงอีกในช่วงที่เหลือของปี 2568 (แม้จะมีความพยายามดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา)

ท่ามกลางแนวโน้มของ NIM ที่จะยังลดลงต่อตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศในครึ่งปีหลัง ขณะที่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกระทบการปล่อยสินเชื่อ ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมฟื้นตัวช้า รวมถึงทำให้ความเสี่ยงขาขึ้นของหนี้ด้อยคุณภาพยังมีอยู่

•ผลดีของการลดดอกเบี้ยรอบนี้จะอยู่ที่ลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อบ้านที่จะเข้าสู่ช่วงปรับดอกเบี้ยเป็นหลัก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกันอื่น ๆ ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนสิ้นปี 2568 จะมีสัดส่วนประมาณ 56.6% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย (รูปที่ 3)

โดยผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจปรับลดลงประมาณ 4,400-4,900 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้รอบนี้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือนพ.ค.-ธ.ค. 2568

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ดอกเบี้ยแบงก์ลง กระทบ NIM  แต่ช่วยลดต้นทุนของลูกหนี้