บิ๊กสภาอุตฯ ฝันรัฐบาลใหม่ ‘โปร่งใส เก่งจริง’ ตัดวงจรทุนเทา ดันเศรษฐกิจฟื้น

17 ธ.ค. 2568 | 07:02 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 07:09 น.

ภาคเอกชนชี้รัฐบาลใหม่ต้องมาจากการเลือกตั้งโปร่งใส ดึงคนเก่งบริหารประเทศ เร่งสกัดคอร์รัปชันและทุนเทา แก้เศรษฐกิจปากท้อง หนี้สิน และโครงสร้างใหญ่ เพื่อหยุดไทยถดถอยยาว

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนต้องการเห็นรัฐบาลใหม่ที่โปร่งใส มีความสามารถจริง โดยคัดเลือกคนเก่งและมืออาชีพเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ใช่คนจากโควตาการเมือง
  • เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งตัดวงจร "ทุนเทา" และปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่ใช้การเลือกตั้งเป็นช่องทางเข้าสู่อำนาจรัฐ
  • ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องหนี้สิน กำลังซื้อ และผลกระทบจากสินค้านำเข้าที่ดัมพ์ราคา

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงมุมมองของภาคเอกชนต่อ “รัฐบาลใหม่ในฝัน” ที่อยากเห็นหลังการเลือกตั้งครั้งถัดไป โดยชี้ว่าจุดเริ่มต้นสำคัญที่สุดคือ การเลือกตั้งที่โปร่งใส ได้มาซึ่งพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีนโยบายชัดเจน และกล้าดึงคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เห็นชัดว่าการเปิดโอกาสให้ “คนนอก” ที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ และมีความเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เข้ามารับผิดชอบกระทรวงหลัก แม้จะมีเวลาจำกัด แต่หากทำงานอย่างโปร่งใส มีระบบ และสื่อสารชัดเจน ก็สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ในระดับหนึ่ง

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

“สิ่งที่เราเห็นชัดคือ ถ้าได้คนที่รู้จริง เข้าใจจริง และมีฝีมือ ไม่ใช่คนที่มาเพราะโควตาหรือไม่มีประสบการณ์เลย การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก็จะมีทิศทางที่ถูกต้อง รัฐบาลในฝันของภาคเอกชนจึงต้องเป็นรัฐบาลที่คัดเลือกคนเก่ง คนดี เข้ามาทำงานในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน” นายเกรียงไกร กล่าว

ประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า วันนี้โลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงต้องประกอบด้วยบุคลากรที่มีองค์ความรู้ มือสะอาด และทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง หากเป็นรัฐบาลผสมที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน และมีคุณภาพใกล้เคียงกัน ก็จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างยั่งยืน

ในส่วนบทบาทของภาคเอกชนและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า นายเกรียงไกรกล่าวว่า กกร. ภายใต้ความร่วมมือของ ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ขยายเครือข่ายภายใต้นโยบาย “กกร. และเพื่อนไม่ทน Zero Corruption” เพื่อสร้างแรงต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

“ในสายตาภาคเอกชน ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศในเวลานี้คือคอร์รัปชัน เพราะมันบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สิ่งที่น่ากลัวคือคอร์รัปชันกำลังเร่งความเร็ว และกำลังจะรุกหนักในช่วงการเลือกตั้ง” นายเกรียงไกรกล่าว

พร้อมเตือนว่า ปรากฏการณ์ “ทุนเทา” จากทั้งในและต่างประเทศกำลังใช้การเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการฟอกเงินและแสวงหาอำนาจ ผ่านการสนับสนุนพรรคการเมืองและผู้สมัคร หากปล่อยให้เกิดการครอบงำจนเข้าสู่โครงสร้างอำนาจรัฐ จะทำให้ประเทศเปลี่ยนเป็น “สีเทาและสีดำ” อย่างถาวร

นายเกรียงไกรยังสะท้อนข้อมูลที่ภาคเอกชนรับรู้ว่า การซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจทวีความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จากเดิมหลักร้อยบาทต่อหัว ปัจจุบันขยับขึ้นเป็นหลักพัน และมีรูปแบบซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตประเทศโดยตรง

สำหรับปัญหาเร่งด่วนหลังการเลือกตั้ง ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไขหัวใจสำคัญที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ทั้งเรื่องหนี้สิน กำลังซื้อ ทุนเทา และสินค้านำเข้าที่ดัมพ์ราคาจนผู้ประกอบการไทยทุกระดับได้รับผลกระทบ ตั้งแต่รายย่อยจนถึงรายใหญ่ ดังนั้นรัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ ควบคู่กับการปฏิรูประบบการศึกษา ระบบราชการ กฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างการคลังของประเทศ โดยเฉพาะฐานภาษีที่ไม่สมดุล

 เขาทิ้งท้ายว่า หากประเทศได้รัฐบาลที่มาจากทุนเทาหรือมีเป้าหมายเพื่อครอบงำมากกว่าบริหาร เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถดถอย GDP อาจเติบโตตํ่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและอนาคตของคนไทยทั้งประเทศ