KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หนึ่งในภาคีสมาชิกความร่วมมือ โครงการ Nation Election 2569 : จุดเปลี่ยนประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มุมมองของภาคเอกชนต่อ “รัฐบาลใหม่ในฝัน” นั้น ต้องเริ่มต้นจากกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใส ได้มาซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีนโยบายที่ชัดเจน สามารถตอบโจทย์ประเทศในระยะยาวได้จริง
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ บุคลากรที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือผู้บริหารประเทศ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ตรง โดยไม่ยึดติดกับระบบโควตาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว เพราะบทเรียนในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นว่า การเปิดโอกาสให้ “คนนอก” ที่เป็นมืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เข้ามารับผิดชอบกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปากท้อง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น แต่หากทำงานอย่างโปร่งใส มีระบบ และมีเป้าหมายชัดเจน ก็สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้
“ถ้าได้คนที่รู้จริง เข้าใจจริง และมีฝีมือ ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ แล้วมาคุมเศรษฐกิจของประเทศทั้งประเทศ สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าคนมีคุณภาพสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ แม้มีข้อจำกัดด้านเวลา” นายเกรียงไกร กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า บริบทโลกในปัจจุบันเต็มไปด้วยความท้าทายรุนแรง ทั้งสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นทุกมิติ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่ประกอบด้วยบุคลากรที่มีองค์ความรู้รอบด้าน มีความเข้าใจโลก มีวิสัยทัศน์ และต้องเป็นคนที่ “มือสะอาด” ทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
หากเป็นรัฐบาลที่รวมตัวจากพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน และมีคุณภาพของบุคลากรในระดับเดียวกัน จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างยั่งยืน นี่คือภาพของรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีในฝันที่ภาคเอกชนอยากเห็น
ในส่วนบทบาทของภาคเอกชนและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า นายเกรียงไกรกล่าวว่า กกร. ภายใต้การนำของ 3 องค์กรหลัก ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้เชิญชวนเครือข่ายภาคีทั้งภาคเอกชน ภาคสื่อ ภาคการศึกษา และภาคประชาชน เข้ามาร่วมกันภายใต้นโยบาย “กกร. และเพื่อนไม่ทน Zero Corruption”
นายเกรียงไกรย้ำว่า ในสายตาของภาคเอกชน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้คือ คอร์รัปชัน เพราะเป็นตัวบ่อนทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกด้าน เมื่อคอร์รัปชันเกิดขึ้น สิ่งที่ควรจะเป็นกลับไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจเสียหาย ระบบไม่เป็นธรรม และความเชื่อมั่นลดลงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่ากังวลคือ คอร์รัปชันกำลังคืบคลานและเร่งความเร็ว โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งภาคเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนของ “ทุนเทา” จากทั้งในและต่างประเทศ ที่ใช้การเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการฟอกเงินและแสวงหาอำนาจ ผ่านการสนับสนุนพรรคการเมืองและผู้สมัคร
“ถ้าทุนเทาเข้าไปครอบงำพรรคการเมือง แล้วต่อยอดเข้ามาเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรี หรือกำหนดนโยบายประเทศ ประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นสีเทาและสีดำอย่างถาวร นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด” นายเกรียงไกร กล่าว
เขายังสะท้อนว่า การซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีแนวโน้มทวีความรุนแรงและมีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากเดิมหลักร้อยบาทต่อหัว ปัจจุบันขยับขึ้นเป็นหลักหลายพันบาท และมีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตประเทศอย่างแท้จริง
สำหรับหลังการเลือกตั้ง นายเกรียงไกรระบุว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือ เศรษฐกิจปากท้อง ทั้งเรื่องหนี้สิน กำลังซื้อ ทุนเทา และสินค้านำเข้าที่ดัมพ์ราคาจนผู้ประกอบการไทยทุกระดับได้รับผลกระทบ ตั้งแต่รายย่อยจนถึงรายใหญ่
รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ ควบคู่กับการปฏิรูประบบการศึกษา ระบบราชการ กฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างการคลังของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาฐานภาษีที่ไม่สมดุล หากปลดล็อกโครงสร้างเหล่านี้ได้ จะช่วยแก้ปัญหาอื่น ๆ ได้อีกมาก
นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้ายว่า หากประเทศไทยได้รัฐบาลที่มาจากทุนเทา หรือมีเป้าหมายเพื่อการครอบงำมากกว่าการบริหาร เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถดถอย GDP อาจลดอันดับลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และประชาชนจะเผชิญความยากลำบากในระยะยาว ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศอย่างแท้จริง