เอกชนหวั่นยุบสภาฉุดเศรษฐกิจ ครึ่งแรกปี 69 เสี่ยงสะดุด

17 ธ.ค. 2568 | 05:12 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 05:25 น.

ภาคเอกชนประเมินการยุบสภาไม่กระทบเศรษฐกิจทันที แต่กังวลมาตรการกระตุ้นสะดุด โดยเฉพาะ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” หากเลือกตั้งยืดเยื้อ เสี่ยงฉุดกำลังซื้อ การลงทุน และจีดีพีครึ่งแรกปี 2569

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนกังวลว่าการยุบสภาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เกิดความล่าช้า
  • รัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดในการอนุมัติโครงการใหม่ๆ ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น "คนละครึ่งพลัส" และ "ช้อปดีมีคืน" ต้องหยุดชะงัก
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักลงทุนอาจชะลอการตัดสินใจลงทุน และกระทบต่อการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ

การตัดสินใจยุบสภาของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนและจัดการเลือกตั้งใหม่ กำลังกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะในมุมมองของภาคเอกชนที่เห็นตรงกันว่า “ผลกระทบอาจไม่เกิดทันที” แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่ช่วงต้นปี 2569 หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่สามารถเดินหน้าต่อได้

 เร่งตั้งรัฐบาลเร็วฟื้นเศรษฐกิจ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยขอเรียกร้องให้มีการเร่งดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็มโดยเร็ว

เนื่องจากในปัจจุบันยังมีกฎหมายสำคัญและกรอบการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่รอการพิจารณาและผ่านสภา และต้องมีขับเคลื่อนอีกหลายประเด็น อาทิ การเจรจาด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า เช่น FTA Thai-EU ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ขณะเดียวกันในระหว่างช่วงรัฐบาลรักษาการ หอการค้าไทยเห็นว่า รัฐบาลรัยังคงมีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มติครม. ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบปัญหา รวมถึงการดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยไม่ต้องการให้การยุบสภาในครั้งนี้ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก และขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ

ลุ้นยาก 'คนละครึ่งพลัส' เฟส2

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลกระทบจากการยุบสภาต่อเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่รุนแรง เนื่องจากรัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันรับทราบระยะเวลาของตนเอง และได้มีการประเมินการยุบสภาล่วงหน้า รวมถึงเตรียมการอนุมัติงบประมาณและเรื่องสำคัญที่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไว้เกือบทั้งหมดแล้ว

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา

ภายใต้สถานะรัฐบาลรักษาการ จะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถอนุมัติโครงการใหม่ ๆ ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมจะเสนอเข้า ครม. อาทิ โครงการที่คล้ายกับ "คนละครึ่งพลัส" อาจถูกยกเลิกไป แต่โครงการเดิม ๆ หรือเรื่องที่เคยดำเนินการไว้แล้วยังสามารถทำต่อเนื่องได้ โดยมี ข้าราชการประจำสามารถดำเนินการได้ ภายใต้กรอบที่ได้รับอนุมัติมาตั้งแต่ต้นนักลงทุนชะลอการตัดสินใจ เน้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ด้านนักลงทุน ประเมินว่าจะส่งผลบ้าง สำหรับรายที่ยังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ โดยอาจจะชะลอแผนการลงทุนออกไปก่อน แต่สำหรับนักลงทุนที่ตัดสินใจแล้วและเดินหน้าตามแผนงานเดิม ยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีไทม์ไลน์เรื่องการเลือกตั้งเป็นตัวกำหนดความชัดเจน

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า คาดการณ์ว่า คงจะยังไม่ถึงกับดีขึ้นทันตาเห็น แต่สถานการณ์ในปีปัจจุบัน น่าจะถึงเบสไลน์ หรือ จุดต่ำสุด แล้ว ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้ แต่การฟื้นตัวจะเร็วหรือช้าเพียงใดนั้น ต้องอาศัยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเข้ามาสนับสนุน

ตะลึง! เรตใหม่ซื้อเสียงหัวละ 3-5 พัน

นายเกรียงไกร  เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่ภาคเอกชนกังวลคือ “เงินเทา” ที่มาจากเพื่อนบ้านและต่างประเทศ ซึ่งเงินเหล่านี้ผ่านกลไกที่ง่ายที่สุดในการฟอกเงิน และได้ทั้งการฟอกเงินพร้อมกับการได้อำนาจในการควบคุม โดยกลไกที่ดีที่สุดและได้ผลที่สุดคือ การเข้ามาในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะถึง

เกรียงไกร  เธียรนุกุล

“เงินเหล่านี้นอกเหนือจากการฟอกในตลาดทุนแล้ว อย่างที่เป็นข่าวตลาดหลักทรัพย์ที่มีหลายบริษัทที่ถูกครอบงำ และยังอยู่ในบัญชีการตรวจสอบ การเข้าสู่เศรษฐกิจชุมชน การเปิดร้านค้า กิจการในประเทศ และโรงงานต่าง ๆ ก็มี แต่ตัวที่หนักที่สุด ง่ายที่สุด และครอบคลุมมากที่สุด คือ การเข้ามาในการเลือกตั้ง

เพราะถ้าทุนเทาเหล่านี้เป็นตัวสนับสนุนพรรคการเมือง ผ่านพรรคการเมืองเหล่านั้น แล้วครอบงำเข้ามาเป็นรัฐบาล เข้ามาเป็นรัฐมนตรี เข้ามากำกับดูแลนโยบายของประเทศ เราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเทาและดำอย่างถาวร”

ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญในเรื่องที่มาที่ไปของพรรคการเมือง รวมถึงเงินที่ใช้ ซึ่งเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการลงทุนซื้อเสียงกันอย่างมโหฬาร และอัตราจะเพิ่มขึ้นอย่างแพงที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

“มีการกล่าวว่า บ้านใหญ่ในอดีต ใช้เงินประมาณ 500 บาทถึง 1,000 บาทต่อหัวในการซื้อเสียง แต่ปัจจุบัน เรตใหม่ต่ำสุดคือ 3,000 บาท อาจจะไปถึง 4,000 บาท หรือ 5,000 บาท และยังมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น การซื้อทั้งครอบครัว หากบ้านหนึ่งมีสิทธิ์เลือกตั้ง 5 คน ถ้าซื้อทั้งครอบครัว ก็จ่ายในเรตหัวละ 3,000 บาท แล้วอาจจะมีท็อปอัพหรือแถมเป็นโบนัสให้พิเศษต่างหาก” นายเกรียงไกร กล่าว

มอง “ค้าปลีก-ค้าส่งและบริการ” ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2569 :โตต่ำ-ผิดคาด

ขณะที่ ดร. ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) กล่าวว่า การประกาศยุบสภาเร็วกว่าที่คาดหมาย จะส่งผลให้ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก Growth drivers ไตรมาสหนึ่ง ปี 2569 ที่ประกอบด้วย 

1. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ คนละครึ่งพลัสเฟส 2 

2.โครงการ “ช้อปดีมีคืน” Easy E-Receipt )

3. การเร่งรัดการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐซึ่งมีอยู่ราว 8 แสนกว่าล้านบาท

4. การท่องเที่ยว

5. เงินหมุนเวียนจากการเลือกตั้ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆข้างต้น ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยข้อจำกัด รัฐธรรมนูญปี 2560 ห้ามรัฐบาลรักษาการอนุมัติโครงการใหม่ ๆ อะไร รวมถึงโครงการที่จะไปผูกพันถึงรัฐบาลหน้า

ดร. ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

“การยุบสภาเร็วกว่าที่คาด ได้สร้างความกังวลต่อกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอซึ่งต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องต้องสะดุด  ปัจจัยขับเคลื่อน จาก 5 ประการก็จะเหลือเพียง การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการเลือกตั้งในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569 นี้ ซึ่งเป็นเพียงเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเดียวที่เพิ่มขึ้น”

ส่งผลต่อภาคธุรกิจค้าปลีกค้าส่งและบริการไทยในไตรมาสแรกทำให้ขยายตัวได้เพียง 0.5 - 1.0%  ห่างไกลจากอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4/2568 ราว 3%  อย่างไรก็ตาม การประมาณการเติบโตทั้งปี 2569 ค่อนข้างลำบาก ปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางการเมืองจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ที่อาจส่งผลให้ภาค “ค้าปลีก-ค้าส่งและบริการ” อาจเติบโตติดลบได้

ฉุดเศรษฐกิจครึ่งแรกปี 69

สอดรับกับนายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง รายใหญ่ในภาคอีสาน ที่กล่าวว่า การประกาศยุบสภาของนายกฯ อนุทิน คือ สัญญาณชะลอตัวเศรษฐกินที่จะยิ่งรุนแรงขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่าโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าจะเริ่มได้ในเดือนมกราคม 2569 นั้น อาจจะไม่สามารถเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทัน และเมื่อไม่มีการกระตุ้นต่อเนื่อง กราฟเศรษฐกิจที่เคยถูกดึงขึ้นมาจะลดลงไปเรื่อย ๆ หากรัฐบาลไม่สามารถกระตุกต่อได้”

หากสถานการณ์ทางการเมืองและความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามที่ตึงเครียด หรือการเลือกตั้งที่อาจถูกเลื่อนออกไป ซึ่งคาดการณ์ว่า กว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะแล้วเสร็จ อาจล่วงเลยไปถึงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมปี 2569 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

เพราะในช่วงที่ประเทศต้องบริหารด้วยรัฐบาลรักษาการ จะไม่สามารถมีอำนาจเต็มในการแก้ไขปัญหาได้ ทำได้เพียงประคับประคองเท่านั้น ทำให้ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) อาจกลับไปสู่ภาพเดิมที่เคยเลวร้ายมาแล้ว

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นการยุบสภาอาจจะไม่กระทบความเชื่อมั่นในทันที แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงคือการขาดมาตรการประคองเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2569 และการยืดเยื้อของการเลือกตั้ง

การขาดมาตรการกระตุ้นใหม่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อระดับรากหญ้า โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าช่วยกระตุ้น GDP ได้ถึง 1% และสำหรับธุรกิจร้านอาหาร ยอดขายโตขึ้นถึง 3-4 เท่า โดยเฉพาะร้านที่ใช้แอปพลิเคชันยังยืนยันว่ายอดขายโตถึง 5 เท่า ซึ่งหากไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมาในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 เศรษฐกิจอาจจะกลับไปสู่สภาวะซึมเศร้าเหมือนเดิม

เช่นเดียวกับนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2569 มีแนวโน้มไม่ดีทั้งปี ซึ่งไม่ต่างจากปี 2568 ขณะที่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่พร้อมกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนเป็นเรื่องที่ดี แต่กังวลว่าสถานการณ์ชายแดนจะมีผลให้เกิดการคัดค้านและชะลอออกไป และแม้ว่ารัฐบาลรักษาการสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อได้แต่ไม่สามารถอนุมัติโครงการสำคัญๆได้

รวมถึงไม่สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆออกมาได้ดังนั้น ภาคอสังหาฯต้องช่วยเหลือตนเอง ขณะปัญหาใหญ่คือสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อซึ่งมีผลต่อตลาดค่อนข้างมากและคาดว่าปีหน้า ความเข้มงวดมากขึ้นต่อเนื่องตามสภาวเศรษฐกิจ

ไร้ผลกระทบท่องเที่ยว

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นไม่มีผลต่อการตัดสินในการเดินทางของนักท่องเที่ยว เพราะเป็นไปตามกฎหมายของประเทศ และ เป็นภาวะปกติของระบบประชาธิปไตย การยุบสภาที่เกิดขึ้นเป็นการทำงานการเมืองบนสมการที่ไม่มีผลประโยชน์ของประชาชนอยู่  เป็นการชิงไหวพริบเกมส์ทางการเมืองของพรรคการเมือง ประชาชนคงใช้วิจารณญาณในการเลือกตั้งในครั้งนี้มากขึ้น และ ประชาชนได้เรียนรู้การทำงานการเมืองของพรรคต่างๆ พอสมควรในช่วงที่ผ่านมา

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์

ด้านนายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า การยุบสภาและรอเลือกตั้งใหม่ไม่น่าจะมีผลต่อการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน  ปีนี้มากนัก แต่อาจจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซัน หน้า หลังสงกรานต์ สำหรับข้อเสนอแนะรัฐบาลรักษาการณ์ ภาคท่องเที่ยวอยากให้รัฐบาลรักษาการณ์เดินหน้านโยบายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ได้วางแผนไว้ และสนับสนุนสิ่งที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในช่วงไฮซีซัน  และไม่ให้สะดุดในช่วงโลว์ซีซัน

ขณะที่ นายวิชัย  เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานบริหาร กลุ่มเบญจจินดา  หรือ BCG กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การที่รัฐบาลนายอนุทินประกาศยุบสภา จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม กลุ่มเบญจจินดายังดำเนินธุรกิจตามปกติ

เช่นเดียวกับพันเอกสรรพชัยย์ หุวะนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพราะภาครัฐและเอกชนรับรู้ต่อเรื่องดังกล่าว

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ กลุ่มบริษัท efrastructure Group  ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ และสตาร์ทอัพ กล่าวว่า การเลือกตั้งปี 2569 อยากได้รัฐบาลที่ไม่มีทุนเทาอยู่เบื้องหลัง   และเปิดให้ผู้บริหารมืออาชีพ เข้ามามีส่วนร่วมบริหหารประเทศไม่ใช่เฉพาะนักการเมือง 

ขณะเดียวกันยังอยากได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ  เพราะจะได้มีการทำงานต่อเนื่อง นอกจากนี้อยากเห็นความมีเอกภาพระหว่างรัฐบาลและทหาร  สุดท้ายอยากเห็นรัฐบาลที่มีการนำดิจิทัลมาใช้บริหารประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระทรวงไม่ใช่เฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม