“ไทย”บนทางสามแพร่ง เลือกตั้งปี 69 ชี้อนาคตชาติ

17 ธ.ค. 2568 | 06:43 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 06:55 น.

“ไทย”บนทางสามแพร่ง เลือกตั้งปี 69 ชี้อนาคตชาติ : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญในปี 2569 จากปัจจัยรุมเร้าทั้งภายในและภายนอก ซึ่งการเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของประเทศ
  • ปัญหาหลักเกิดจากการบริหารที่ล้มเหลวในอดีต ซึ่งเน้นนโยบายประชานิยมระยะสั้น และถูกครอบงำโดยทุนสีเทา ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง
  • ทางรอดของชาติขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่จะต้องเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถ และ ซื่อสัตย์ เพื่อเข้ามาปฏิรูปและแก้ปัญหาวิกฤตอย่างจริงจัง

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่หน้าปากเหวทางเศรษฐกิจ ปี 2569 จะไม่ใช่ปีแห่งการ “ประคองตัว” อย่างที่หลายฝ่ายพยายามปลอบใจสังคม หากแต่มีแนวโน้มจะเป็นปีแห่งการชะลอตัวเชิงโครงสร้าง ที่ฝังรากลึกและยากจะฟื้น หากประเทศยังเดินซํ้ารอยเดิม ทั้งในเชิงนโยบาย เศรษฐกิจ และ การเมือง

พายุลูกแรกกำลังก่อตัวจากต่างประเทศ นั่นคือ การขู่จะยกเลิกข้อตกลงทางการค้า และขึ้นภาษีสินค้าไทยเพิ่มจาก 19% ของ โดนัลด์ ทรัมป์ หากไทยและกัมพูชายังไม่ยุติสงคราม ถือเป็นการใช้การค้าเป็นเครื่องมือต่อรองทางอำนาจ ซึ่งจะกระทบไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลัก หากยอดส่งออกหดตัวต่อเนื่อง สิ่งที่จะตามมาคือการปิดโรงงาน การเลิกจ้าง และ รายได้ประเทศที่หายไปแบบไม่รู้ตัว

พายุลูกที่สอง คือ ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้ยังไม่ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แต่ได้เริ่มกัดกินเศรษฐกิจจริงแล้ว การค้าชายแดนสะดุด การลงทุนชะงัก และ ความเชื่อมั่นที่หายไปเงียบ ๆ หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ประเทศไทยจะต้องจ่ายต้นทุนทางเศรษฐกิจมากกว่าที่ปรากฏในตัวเลขข่าวรายวัน

ขณะที่พายุอีกลูกหนึ่งที่อันตรายที่สุด ไม่ได้มาจากภายนอก แต่หากมาจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของเราเอง ซึ่งการยุบสภา และการเข้าสู่โหมดเลือกตั้งในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแรงในเวลานี้ เป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนเข้าไปในระบบที่เปราะบางอยู่แล้ว การตัดสินใจลงทุนถูกเลื่อน นโยบายสะดุด และประเทศเดินแบบไร้เข็มทิศ ขณะที่เพื่อนบ้านในอาเซียนเดินหน้าด้วยความเร็วที่ไทยตามไม่ทัน

ปัญหาใหญ่ของไทยไม่ใช่ขาดเงิน แต่คือ การขาดรัฐบาลที่คิดเป็นระบบและกล้าปฏิรูปจริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาประเทศถูกบริหารด้วยนโยบายระยะสั้น เน้นแจกเพื่อคะแนนเสียง มากกว่าสร้างขีดความสามารถการแข่งขัน หนี้ครัวเรือนพุ่ง ความสามารถผลิตลดลง และเศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ถูกดันไปอยู่กลุ่มท้ายของภูมิภาค

สิ่งที่ทำลายประเทศยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจ คือ การเมืองที่สังคมจับตามองถูกครอบงำด้วยทุนสีเทา การซื้อสิทธิ์ขายเสียงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่มันคือ จุดเริ่มต้นของการทุจริตเชิงนโยบาย หากเป็นรัฐบาลที่ได้มาด้วยเงิน ย่อมต้องถอนทุนคืน และราคาที่ต้องจ่ายคืออนาคตของประเทศ

ถึงเวลาที่ประชาชนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อทิศทางประเทศอย่างจริงจัง การรับเงินวันเลือกตั้งอาจช่วยได้ชั่วคราว แต่อาจต้องแลกด้วย อนาคตของลูกหลาน และเศรษฐกิจที่ไร้โอกาสและยังโตตํ่าติดดินไปเรื่อยๆ

ปี 2569 จะเป็นปีที่ประเทศไทย ไม่มีพื้นที่สำหรับความเพิกเฉยอีกต่อไป คนไทยต้องเลือกนักการเมืองที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ และ กล้ายืนหยัดต่อทุนสีเทา ไม่ใช่คนที่เก่งแจก แต่ไร้กึ๋นในการบริหาร

นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่คือความจริงเชิงโครงสร้าง หากยังเลือกผิด คนไทยจะจนยาว และอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก 

บทบรรณาธิการ หน้า 2 ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45  ฉบับที่ 4,158  วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568