KEY
POINTS
การเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการชะลอจากฝ่ายสหรัฐ แม้ดีลนี้สหรัฐระบุตั้งเป้าจะลดภาษีสินค้ากว่า 1,000 รายการของไทยเข้าสหรัฐให้เหลือ 0–5% แลกกับการที่ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มทั้งสินค้าเกษตร พลังงาน และเครื่องบินคิดเป็นมูลค่า 8-9 แสนล้านบาท แต่เวลานี้การเจรจามีอันต้องหยุดชะงักลง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การระงับการเจรจานี้นอกจากทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา(ยูออสทีอาร์ / USTR) นำเรื่องการเจรจาการค้ามาเชื่อมโยงกับการบีบให้ไทยกลับเข้าสู่ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่ถือเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งไทยคงต้องรอการตอบรับจากทางยูเอสทีอาร์ว่าจะเดินหน้าต่อการเจรจากับไทยได้เมื่อไร
ขณะที่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐทั่วโลก(เริ่มตั้งแต่ 7 ส.ค. 2568) ส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพ และเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สหรัฐต้องเร่งเจรจาในรายละเอียดว่าจะลดภาษีสินค้าไทยในรายการใดบ้างที่จำเป็นต่อการครองชีพของชาวอเมริกันให้เหลือ 0-5%
อย่างไรก็ดีแม้ตัวเลขส่งออกไทยไปสหรัฐช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 จะขยายตัวสูงถึง 28% แต่ส่วนหนึ่งเป็นการสวมสิทธิ์สินค้าจากต่างประเทศ ที่ส่งออกผ่านไทย และอาเซียนไปสหรัฐ ไม่ได้สะท้อนถึงผลผลิตและ Productivity ที่แท้จริงของไทย ขณะที่การบังคับใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าของสหรัฐ ยังไม่เกิดขึ้น เช่นอาจบังคับการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เริ่มต้นที่ 40, 50 หรือ 60% ซึ่งหากมาตรการนี้บังคับใช้จริง ตัวเลขส่งออกไทยอาจปรับลดลง
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยยังเร่งหาตลาดใหม่เพื่อชดเชยความเสี่ยง แต่ตลาดใหญ่เทียบเท่าสหรัฐ มีจำกัด จึงต้องแข่งขันด้านราคา เงื่อนไขการค้า และการส่งมอบอย่างรวดเร็ว สำหรับตลาด RCEP (16 ประเทศ)ก็ช่วยได้ในเรื่องการลดภาษี แต่การแข่งขันระหว่างประเทศสมาชิกก็สูงเช่นกัน
สำหรับในปี 2569 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามในหลายภูมิภาค ซึ่งอาจกดดันการบริโภคและความต้องการนำเข้าสินค้าของโลก ขณะที่ปัจจัยบวกแทบไม่มี
นายธนากร ย้ำว่า ตัวเลขส่งออกโตในปีนี้ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพการผลิตจริงของไทย แต่เกิดจากกลไกทางการค้าผ่านการสวมสิทธิ์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง