ดีลค้าสหรัฐชะงัก! เอกชนเตือนส่งออกไทยโตแค่สวมสิทธิ์ ผวาบังคับใช้ถิ่นกำเนิดสินค้าทุบตัวเลขวูบ

22 พ.ย. 2568 | 09:43 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 09:58 น.

ดีลการค้าระหว่างไทย-สหรัฐชะงักชั่วคราว เอกชนเตือนตัวเลขส่งออกไทยที่โตแรงอาจเป็นเพียงการสวมสิทธิ์ ไม่สะท้อนความต้องการตลาดจริงหากสหรัฐปรับใช้กฎ Local Content จริง การส่งออกไทยไปตลาดใหญ่อาจชะลอตัว เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือความเสี่ยง

KEY

POINTS

  • การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ หยุดชะงักลง เนื่องจากสหรัฐฯ นำประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาเชื่อมโยงกับการเจรจา
  • ภาคเอกชนเตือนว่าตัวเลขส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เติบโตสูง ไม่ได้สะท้อนการผลิตจริง แต่มาจากการสวมสิทธิ์สินค้าจากประเทศอื่นส่งผ่านไทย
  • ผู้ส่งออกมีความกังวลว่า หากสหรัฐฯ บังคับใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงอย่างมาก

การเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการชะลอจากฝ่ายสหรัฐ แม้ดีลนี้สหรัฐระบุตั้งเป้าจะลดภาษีสินค้ากว่า 1,000 รายการของไทยเข้าสหรัฐให้เหลือ 0–5% แลกกับการที่ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มทั้งสินค้าเกษตร พลังงาน และเครื่องบินคิดเป็นมูลค่า 8-9 แสนล้านบาท แต่เวลานี้การเจรจามีอันต้องหยุดชะงักลง

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การระงับการเจรจานี้นอกจากทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา(ยูออสทีอาร์ / USTR) นำเรื่องการเจรจาการค้ามาเชื่อมโยงกับการบีบให้ไทยกลับเข้าสู่ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่ถือเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งไทยคงต้องรอการตอบรับจากทางยูเอสทีอาร์ว่าจะเดินหน้าต่อการเจรจากับไทยได้เมื่อไร

ขณะที่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐทั่วโลก(เริ่มตั้งแต่ 7 ส.ค. 2568) ส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพ และเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สหรัฐต้องเร่งเจรจาในรายละเอียดว่าจะลดภาษีสินค้าไทยในรายการใดบ้างที่จำเป็นต่อการครองชีพของชาวอเมริกันให้เหลือ 0-5% 

อย่างไรก็ดีแม้ตัวเลขส่งออกไทยไปสหรัฐช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 จะขยายตัวสูงถึง 28% แต่ส่วนหนึ่งเป็นการสวมสิทธิ์สินค้าจากต่างประเทศ ที่ส่งออกผ่านไทย และอาเซียนไปสหรัฐ ไม่ได้สะท้อนถึงผลผลิตและ Productivity ที่แท้จริงของไทย ขณะที่การบังคับใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าของสหรัฐ ยังไม่เกิดขึ้น เช่นอาจบังคับการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เริ่มต้นที่ 40, 50 หรือ 60% ซึ่งหากมาตรการนี้บังคับใช้จริง ตัวเลขส่งออกไทยอาจปรับลดลง

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยยังเร่งหาตลาดใหม่เพื่อชดเชยความเสี่ยง แต่ตลาดใหญ่เทียบเท่าสหรัฐ มีจำกัด จึงต้องแข่งขันด้านราคา เงื่อนไขการค้า และการส่งมอบอย่างรวดเร็ว สำหรับตลาด RCEP (16 ประเทศ)ก็ช่วยได้ในเรื่องการลดภาษี แต่การแข่งขันระหว่างประเทศสมาชิกก็สูงเช่นกัน

สำหรับในปี 2569  ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามในหลายภูมิภาค ซึ่งอาจกดดันการบริโภคและความต้องการนำเข้าสินค้าของโลก ขณะที่ปัจจัยบวกแทบไม่มี

นายธนากร ย้ำว่า ตัวเลขส่งออกโตในปีนี้ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพการผลิตจริงของไทย แต่เกิดจากกลไกทางการค้าผ่านการสวมสิทธิ์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง