KEY
POINTS
วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวทางการเจรจาภาษีสหรัฐ ว่า หลังจากสำนักงานผู้แทนการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (USTR) ส่งหนังสือมายังรัฐบาลเพื่อแจ้งระงับการเจรจาด้านอัตราภาษีการค้าทวิภาคีระหว่างไทย-สหรัฐฯ นั้น โดยในวันเดียวกันนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ก็ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนได้ข้อสรุป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยึดสิ่งที่ท่านผู้นำทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกัน
โดยทางนายกรัฐมนตรี จะมีการส่งหนังสือยืนยันกลับไปทาง USTR ว่าเราจะยังคงเดินหน้าพร้อมเจรจาภาาต่อไป
ทั้งนี้ยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการพูดคุยกับทางสหรัฐเรื่องการเจรจาภาษีมาอย่างต่อเนื่อง ทางกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำกับทาง USTR มาตลอดว่าในการเจรจามีการแยกประเด็นเรื่องของการค้าและความมั่นคงออกอย่างชัดเจน และทางรัฐบาลเองยังคงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และมีความมั่นใจว่าทางสหรัฐมีเป้าหมายเดียวกันและยังคงเดินหน้าเจรจาตามกรอบเวลาเดิมให้เสร็จภายในสิ้นปี 2568 นี้
"ขอยืนยันว่าเรายังคงมุ่งมั่นในเป้าหมายเดิมแล้วก็จะทำงานอย่างเต็มที่ จะมีการหารือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ผลกระทบต่าง ๆ จะต้องถูกนำมาพิจารณาอย่างครบถ้วนแล้วก็รอบด้าน ในส่วนเรื่องอัตรภาษียังคงมีการเก็บอัตราที่ 19%"
นางสาวโชติมา ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์มีการทำงานและทำการบ้านอย่างจริงจัง เพื่อที่จะหารือกับสหรัฐอย่างเข้มข้น ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าประธานฯ เรายังมุ่งมั่นที่จะทำงานในฝั่งของเรา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ยึดในเป้าหมายเดิมต่อไป
อย่างไรก็ดี การเตรียมพร้อมผู้ประกอบการในประเทศเราจะสร้างขีดความสามารถในสินค้าที่มีศักยภาพ การหาตลาดใหม่ รวมถึงขยายประเทศคู่เจรจาคู่ค้าที่มีอยู่ในแง่ของการทำความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ในช่วงภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูง
นางสาวโชติมา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การเจรจาอยู่ในช่วงที่ต้องหารือในรายละเอียด หลังจากที่ได้มีการตกลงกรอบการเจรจากันแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องมีการทำงานภายในประเทศของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคณะทำงานของไทยจะมีการประชุมในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเตรียมความพร้อม ก่อนจะมีการกำหนดวันเจรจาที่แน่ชัดต่อไป
โดยยืนยันว่า ในระหว่างนี้ไทยยังไม่มีการหยุดการทำงานใด ๆ และจะมีการหารือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เพื่อพิจารณาข้อมูลให้ครบถ้วนและรอบด้านต่อไป