KEY
POINTS
ผู้เชี่ยวชาญชี้ MOU แร่หายากกับสหรัฐ หนุนไทยเป็น “ต้นน้ำแร่หายาก” ของโลก เปิดโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เสี่ยงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน และถูกดึงไทยเข้าสู่ห่วงโซ่สงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทั้งรถ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อวกาศ อาวุธ
ไทย-สหรัฐอเมริกาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการสำรวจ การผลิต และการใช้แร่หายาก ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งในมุมบวกและมุมลบ
โดยมุมบวก นักเศรษฐศาสตร์และภาคอุตสาหกรรมชี้ว่า MOU นี้อาจช่วยเพิ่มรายได้จากแร่หายากของไทย เสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานให้ไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่แร่หายากของโลกภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และจะช่วยดึงการลงทุนจากต่างชาติ
ส่วนในมุมลบ/ข้อกังวล นักสิ่งแวดล้อมและนักวิชาการออกมาระบุ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ ดำเนินการไม่โปร่งใส ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและระบบรัฐสภาไทย และยังเตือนถึงความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อระบบนิเวศ ชุมชนท้องถิ่น และความโปร่งใสในการจัดการทรัพยากร นอกจากนี้มีข้อกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าไทยอาจถูกดึงเข้าสู่การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน
ทั้งนี้ประเด็นที่น่าติดตามนับจากนี้คือ การแปลง MOU เป็นโครงการปฏิบัติจริง และกรอบกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่หายากอย่างยั่งยืนและโปร่งใส
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า MOU แร่หายากไทย-สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ต่างจาก MOU ที่สหรัฐทำกับญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ที่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่แร่หายากของสหรัฐแล้วที่ระบุชัดว่าเป็น Rare Earth หรือแร่หายากอย่างชัดเจน แต่ในส่วนของไทยกลับอยู่ในกรอบแร่สำคัญ (Critical Mineral) ซึ่งกว้างกว่า ทำให้สหรัฐสามารถเข้ามามีบทบาทเกือบทุกแร่ และไทยอาจกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบให้สหรัฐ แม้จะมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นกลาง แต่ข้อมูลแหล่งแร่ทั้งหมดจะรั่วไหลไปยังสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ในมุมมอง MOU ครั้งนี้มีข้อดีหรือโอกาส คือ ไทยสามารถเพิ่มรายได้จากแร่สำคัญ และได้เรียนรู้เทคโนโลยีสำรวจและแปรรูปแร่ซึ่งเป็นส่วนของต้นน้ำจากสหรัฐ ส่วนกลางน้ำ หรือการแปรรูปขั้นกลาง เช่น การสกัด การแยกแร่ ไทยยังไม่มีเทคโนโลยี สหรัฐอาจจะมาช่วยในเรื่องนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้หน่วยราชการไทยที่เกี่ยวเนื่องได้เรียนรู้วิธีการสำรวจ วิธีการคัดแยก สกัดแร่ และอื่น ๆ รวมถึงเปิดโอกาสในการพัฒนาหลักสูตรวิชาธรณีวิทยาและอุตสาหกรรมแร่ในมหาวิทยาลัยของไทย
ส่วนความเสี่ยงและข้อกังวลคือ จะเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุดและแปรรูป นอกจากนี้จะดึงไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่สงครามแร่หายากสหรัฐ-จีน และอาจถูกบีบทางเศรษฐกิจหากยกเลิก MOU และถูกจำกัดสิทธิ์การขายและการลงทุนให้สหรัฐ เป็นประเทศแรก ซึ่งต่างจากมาเลเซียที่ไม่มีข้อผูกมัด แต่ก็ไม่กีดกันในการส่งแร่ไปสหรัฐ และมาเลเซียยังเปิดกว้างให้ประเทศอื่น ๆ เข้าไปลงทุนด้านแร่ในมาเลเซียด้วย ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากไทย
สำหรับสิ่งที่ไทยควรทำเพื่อได้ประโยชน์สูงสุด หาก MOU นี้ยังเดินหน้าต่อไปคือ
“เวลานี้จีนควบคุมไม่ส่งออกแร่หายาก 12 ชนิด จาก 17 ชนิดให้สหรัฐ ซึ่งเรื่องแร่หายากนี้ถือเป็นจุดอ่อนของสหรัฐ แต่เป็นจุดแข็งของจีน เพราะเวลานี้จีนควบคุมห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมแร่หายากสัดส่วนกว่า 90% ของโลก ซึ่งห่วงโซ่อุปทานที่สหรัฐได้เดินสายดึงประเทศในเอเชีย และอาเซียน รวมถึงไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐและพันธมิตรว่า จะมีแร่หายากใช้ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อาวุธ การแพทย์ และอวกาศ ที่ต้องใช้แร่หายากเป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ”
ทั้งนี้ แม้ไทยจะเป็นเพียงต้นน้ำของห่วงโซ่แร่หายาก แต่หากบริหารจัดการดี ไทยสามารถใช้โอกาสนี้เพิ่มความรู้ด้านเทคโนโลยี และเตรียมความพร้อมในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตข้างต้นได้เช่นกัน