MOU “แร่หายาก” ไทยเสี่ยงสิ่งแวดล้อม ถูกดึงสู่สงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีน

30 ต.ค. 2568 | 08:08 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ต.ค. 2568 | 08:25 น.

ผู้เชี่ยวชาญชี้ MOU แร่หายากกับสหรัฐ หนุนไทยเป็น “ต้นน้ำแร่หายาก” ของโลก เปิดโอกาสไทยเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เสี่ยงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน และถูกดึงเข้าสู่ห่วงโซ่สงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทั้งรถ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อวกาศ อาวุธ

KEY

POINTS

  • ไทยลงนาม MOU กับสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือด้านการสำรวจและผลิตแร่สำคัญ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการดึงไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานแร่ของสหรัฐฯ เพื่อแข่งขันกับจีน
  • ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการแสดงความกังวลว่าข้อตกลงนี้อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนจากการทำเหมืองและแปรรูปแร่
  • ข้อตกลงดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะดึงประเทศไทยเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์และสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ผู้เชี่ยวชาญชี้ MOU แร่หายากกับสหรัฐ หนุนไทยเป็น “ต้นน้ำแร่หายาก” ของโลก เปิดโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เสี่ยงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน และถูกดึงไทยเข้าสู่ห่วงโซ่สงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทั้งรถ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อวกาศ อาวุธ

ไทย-สหรัฐอเมริกาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการสำรวจ การผลิต และการใช้แร่หายาก ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งในมุมบวกและมุมลบ

โดยมุมบวก นักเศรษฐศาสตร์และภาคอุตสาหกรรมชี้ว่า MOU นี้อาจช่วยเพิ่มรายได้จากแร่หายากของไทย เสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานให้ไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่แร่หายากของโลกภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และจะช่วยดึงการลงทุนจากต่างชาติ

ส่วนในมุมลบ/ข้อกังวล นักสิ่งแวดล้อมและนักวิชาการออกมาระบุ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ ดำเนินการไม่โปร่งใส ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและระบบรัฐสภาไทย และยังเตือนถึงความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อระบบนิเวศ ชุมชนท้องถิ่น และความโปร่งใสในการจัดการทรัพยากร นอกจากนี้มีข้อกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าไทยอาจถูกดึงเข้าสู่การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน

ทั้งนี้ประเด็นที่น่าติดตามนับจากนี้คือ การแปลง MOU เป็นโครงการปฏิบัติจริง และกรอบกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่หายากอย่างยั่งยืนและโปร่งใส

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า MOU แร่หายากไทย-สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ต่างจาก MOU ที่สหรัฐทำกับญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ที่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่แร่หายากของสหรัฐแล้วที่ระบุชัดว่าเป็น Rare Earth หรือแร่หายากอย่างชัดเจน แต่ในส่วนของไทยกลับอยู่ในกรอบแร่สำคัญ (Critical Mineral) ซึ่งกว้างกว่า ทำให้สหรัฐสามารถเข้ามามีบทบาทเกือบทุกแร่ และไทยอาจกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบให้สหรัฐ แม้จะมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นกลาง แต่ข้อมูลแหล่งแร่ทั้งหมดจะรั่วไหลไปยังสหรัฐ

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

อย่างไรก็ดี ในมุมมอง MOU ครั้งนี้มีข้อดีหรือโอกาส คือ ไทยสามารถเพิ่มรายได้จากแร่สำคัญ และได้เรียนรู้เทคโนโลยีสำรวจและแปรรูปแร่ซึ่งเป็นส่วนของต้นน้ำจากสหรัฐ ส่วนกลางน้ำ หรือการแปรรูปขั้นกลาง เช่น การสกัด การแยกแร่ ไทยยังไม่มีเทคโนโลยี สหรัฐอาจจะมาช่วยในเรื่องนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้หน่วยราชการไทยที่เกี่ยวเนื่องได้เรียนรู้วิธีการสำรวจ วิธีการคัดแยก สกัดแร่ และอื่น ๆ รวมถึงเปิดโอกาสในการพัฒนาหลักสูตรวิชาธรณีวิทยาและอุตสาหกรรมแร่ในมหาวิทยาลัยของไทย

ส่วนความเสี่ยงและข้อกังวลคือ จะเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุดและแปรรูป นอกจากนี้จะดึงไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่สงครามแร่หายากสหรัฐ-จีน และอาจถูกบีบทางเศรษฐกิจหากยกเลิก MOU และถูกจำกัดสิทธิ์การขายและการลงทุนให้สหรัฐ เป็นประเทศแรก ซึ่งต่างจากมาเลเซียที่ไม่มีข้อผูกมัด แต่ก็ไม่กีดกันในการส่งแร่ไปสหรัฐ และมาเลเซียยังเปิดกว้างให้ประเทศอื่น ๆ เข้าไปลงทุนด้านแร่ในมาเลเซียด้วย ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากไทย

สำหรับสิ่งที่ไทยควรทำเพื่อได้ประโยชน์สูงสุด หาก MOU นี้ยังเดินหน้าต่อไปคือ

  1. กำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติ
  2. เจรจาเงื่อนไขร่วมทุนและเทคโนโลยี ให้ไทยได้สิทธิ์เข้าถึงความรู้และเทคโนโลยีสำคัญ
  3. วางแผนบริหารข้อมูลแหล่งแร่และสำรองเชิงยุทธศาสตร์ ป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ คุมทรัพยากรไทยเพียงฝ่ายเดียว
  4. ติดตามสถานการณ์สงครามแร่หายากและการเจรจาสหรัฐ-จีน เพื่อปรับกลยุทธ์และโอกาสในการลงทุน

“เวลานี้จีนควบคุมไม่ส่งออกแร่หายาก 12 ชนิด จาก 17 ชนิดให้สหรัฐ ซึ่งเรื่องแร่หายากนี้ถือเป็นจุดอ่อนของสหรัฐ แต่เป็นจุดแข็งของจีน เพราะเวลานี้จีนควบคุมห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมแร่หายากสัดส่วนกว่า 90% ของโลก ซึ่งห่วงโซ่อุปทานที่สหรัฐได้เดินสายดึงประเทศในเอเชีย และอาเซียน รวมถึงไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐและพันธมิตรว่า จะมีแร่หายากใช้ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อาวุธ การแพทย์ และอวกาศ ที่ต้องใช้แร่หายากเป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ”

ทั้งนี้ แม้ไทยจะเป็นเพียงต้นน้ำของห่วงโซ่แร่หายาก แต่หากบริหารจัดการดี ไทยสามารถใช้โอกาสนี้เพิ่มความรู้ด้านเทคโนโลยี และเตรียมความพร้อมในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตข้างต้นได้เช่นกัน