KEY
POINTS
ผู้เชี่ยวชาญฟันธง ถกการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐส่อลากยาว ไม่จบสิ้นปีนี้ ชี้ยูเอสทีอาร์ไม่กล้าระงับเจรจาขายสินค้าเกษตร พลังงาน เครื่องบินให้ไทยเกือบ 1 ล้านล้านบาท ลุ้นสินค้าไทย 1,080 รายการได้ลดภาษี 0% ขณะสภาอุตฯ จี้รัฐเร่งเดินหน้า หวั่นล่าช้ากระทบลงทุน ด้านสรท. ชี้หาตลาดใหม่ไม่ง่าย ต้องทำการบ้าน
กรณีสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ได้ขอระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐเป็นการชั่วคราว โดยระบุจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Declaration)
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้อ้างคำพูดของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ที่ได้โทรศัพท์มาหา โดยสาระสำคัญ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ฝากนายอันวาร์มายืนยันว่าสหรัฐไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีและความตกลงทางการค้าไทย-สหรัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ส่วนนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะยึดตามสิ่งที่ผู้นำได้คุยกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะมีการส่งหนังสือยืนยันกลับไปทางยูเอสทีอาร์ว่าไทยมีความพร้อมในการเดินหน้าการเจรจาต่อไป โดยตั้งเป้าหมายจะให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ส่วนตัวมองว่าการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนจะไม่แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และอาจต้องดีเลย์ออกไป เพราะมีเวลาเพียงอีกแค่เดือนกว่า ขณะที่ในรายละเอียดของประเด็นในการเจรจายังมีอีกมากที่ไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากสาระสำคัญของความตกลงไทยจะต้องยกเลิกข้อจำกัดด้านภาษีสำหรับสินค้าร้อยละ 99 ของจำนวนสินค้าที่ไทยค้ากับสหรัฐ ซึ่งในความหมายก็คือไทยต้องลดภาษีให้สินค้าจากสหรัฐลงเป็น 0-5%
รวมถึงไทยต้องยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีให้สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มากก็น้อย เฉพาะอย่างยิ่งต่อเกษตรกรที่ไทยต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐมากขึ้น อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นต้น
สำหรับการระงับการเจรจาของสหรัฐในครั้งนี้ มองว่าสหรัฐคงมีเป้าหมายในส่วนของสินค้าในภาคผนวก III ของคำสั่งผู้บริหาร 14346 ลงวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งมีอยู่จำนวน 1,080 รายการที่สหรัฐจะพิจารณาปรับลดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เป็น 0% ซึ่งจะเป็นส่วนที่ไทยจะได้ประโยชน์และต้องเร่งเจรจา
ในส่วนที่สหรัฐได้ประโยชน์ โดยไทยได้ตกลงก่อนหน้านี้ว่าจะจัดซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลืองและธัญพืช การจัดซื้อพลังงานต่าง ๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มีเทน และน้ำมันดิบ คิดเป็นมูลค่ารวม 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (มากกว่า 260,000 ล้านบาท) รวมถึงการจัดซื้อเครื่องบินสหรัฐ 80 ลำ รวมมูลค่า 18,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือมากกว่า 620,000 ล้านบาท) หรือรวมมากกว่า 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบ และสหรัฐคงไม่ระงับการเจรจาเพราะเป็นเรื่องที่สหรัฐได้ประโยชน์
“การระงับการเจรจาครั้งนี้ สหรัฐคงหมายถึงส่วนที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในการลดภาษีจากสหรัฐลงเป็น 0% ส่วนที่สหรัฐได้ประโยชน์ 8-9 แสนล้าน เขาคงไม่ระงับการเจรจา เพียงแต่ขอชะลอออกไปเท่านั้น โดยนำเอาเรื่องปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชามาเป็นเครื่องต่อรอง ซึ่งในข้อเท็จจริงต้องแยกส่วนกัน ซึ่งการที่ไทยยังยืนยันในหลักการว่าเราพร้อมเดินหน้าเจรจาก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
อย่างไรก็ดี ดร.อัทธ์มองว่าการส่งออกไทยไปสหรัฐในปีหน้า (2569) คาดจะลดลงจากปีนี้ โดยจะขยายตัวลดลงเหลือระดับ 10% จากไทยจะถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% ตลอดทั้งปี จากปีนี้คาดการส่งออกไทยไปสหรัฐจะขยายตัวได้ 23-25% (ส่งออกไทยไปสหรัฐ 9 เดือนแรกขยายตัว 28%) เนื่องจากไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าส่งออกไทยไปสหรัฐจะขยายตัวลดลง จากสามไตรมาสแรกได้เร่งนำเข้าเพื่อเลี่ยงภาษีที่จะปรับเพิ่มขึ้น (ปรับขึ้นเมื่อ 7 ส.ค. 68) และเวลานี้คู่ค้ายังสต็อกสินค้าจำนวนมาก ส่วนภาพรวมการส่งออกไทยไปทั่วโลกในปี 2569 คาดจะขยายตัวได้ประมาณ 5% จากปีนี้คาดขยายตัวได้ประมาณ 10% (ตัวเลขส่งออกไทย 9 เดือนแรกปี 2568 ขยายตัว 14%)
“สิ่งที่รัฐบาลและภาคเอกชนต้องเร่งดำเนินการ เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐที่เราพึ่งพาถึง 18% ของการส่งออกไทยในปีที่ผ่านมา คือ ต้องเร่งหาตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง กลุ่ม GCC แอฟริกา กลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยต้องปฏิรูประบบการทำงานของทูตพาณิชย์ไทยที่ประจำอยู่ทั่วโลก จากใช้ระบบหมุนเวียน (Rotation) ในการทำงานเมื่อครบ 4 ปีก็ให้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ เป็นระบบการให้รางวัล (Reward) ที่ต้องตั้งเป้าหมายชัดเจน เช่น ต้องการส่วนแบ่งตลาด 10% ในตลาดเหล่านี้ หากใครทำได้ตามเป้าหมายควรได้รับรางวัลสูง เช่น ได้เลื่อนสองขั้นหรือได้รับการโปรโมต ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจในการทำงาน เป็นต้น”
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากประเด็นไทย–กัมพูชา และการเคลื่อนไหวของยูเอสทีอาร์ที่ประกาศระงับเจรจาทางการค้ากับไทย อาจมีความคลาดเคลื่อนด้านเวลาและขั้นตอน แต่สหรัฐฯ ยังมีเจตนาสานต่อการเจรจา ภาคเอกชนจึงหวังให้กลับสู่กระบวนการปกติโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้า
ด้านผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน ความไม่แน่นอนด้านภาษีและมาตรฐานสหรัฐ อาจเพิ่มต้นทุน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรม ขณะที่การลงทุนไทย–สหรัฐฯ เสี่ยงกระทบความเชื่อมั่น นักลงทุนอาจชะลอการขยายกิจการหรือโครงการลงทุนใหม่ หากการเจรจามีความยืดเยื้อจนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจนมากขึ้น
“ไทยต้องยืนหยัดเรื่องอธิปไตย และรัฐบาลต้องใช้พลังการทูตประคองความสัมพันธ์ หากกลับสู่ภาวะปกติได้ต้นปีหน้า การค้าไทย–สหรัฐฯ มีโอกาสฟื้นตัว สำหรับข้อเสนอเอกชน ได้แก่ เร่งสร้างความชัดเจนการเจรจา ประเมินความพร้อมต่อข้อผูกพันกับสหรัฐ และเสริมศักยภาพผู้ส่งออกไทยทั้งด้านมาตรฐาน การลดต้นทุน และการกระจายตลาด”
ทั้งนี้ การทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคงต้องเดินคู่กัน และรัฐควรเร่งแก้ประเด็นสำคัญก่อนการประเมินรอบถัดไป เพื่อจำกัดผลกระทบทางการค้า ซึ่งในปี 2569 ความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศและท่าทีของยูเอสทีอาร์อาจทำให้บรรยากาศการค้าเปราะบาง โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ระหว่างเจรจาด้านกฎระเบียบและภาษี ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอคำสั่งซื้อของผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
ขณะที่นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐยังมีรายการสินค้าจำนวนมากที่ต้องเร่งเจรจากัน โดยในส่วนของรายการสินค้าที่สหรัฐจะปรับลดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เป็น 0% ให้ไทย (มีจำนวน 1,080 รายการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา) มองว่าสหรัฐคงเลือกรายการสินค้าที่เป็นประโยชน์และช่วยลดค่าครองชีพของชาวอเมริกัน ที่เวลานี้ภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐยังสูง รวมถึงเลือกลดภาษีสินค้า ที่มีส่วนสำคัญต่อระบบห่วงโซ่อุปทานในการผลิตของโรงงานในสหรัฐ ซึ่งไทยต้องเจรจาให้สหรัฐเห็นความสำคัญในส่วนนี้
“ส่วนการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดของส่งออกไทยก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ต้องทำ โดยตลาดระดับกลางที่มีกำลังซื้อและสามารถซื้อได้ทันทีก็มีหลายตลาด แต่ปริมาณซื้ออาจจำกัด และเขาอาจมี Supply Base อยู่เดิม เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปงัดออร์เดอร์ออกมา เราอาจต้องไปออฟเฟอร์บางอย่าง ทั้งดีลการค้า เครดิตเทอม ราคา การสต็อกสินค้าให้คู่ค้า การส่งมอบที่เร็วขึ้น เพราะปกติเขาก็จะมีการซื้อขายกับคู่ค้าประจำอยู่แล้ว การที่จะไปขอแบ่งเค้กหรือช่วงชิงตลาดก็ต้องทำการบ้าน” นายธนากร กล่าว