KEY
POINTS
สถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชาที่ลากยาวมาหลายเดือน กำลังเลื่อนระดับจากความขัดแย้งชายแดนทั่วไปสู่ “วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์เชิงโครงสร้าง” ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ การชะลอตัวของการค้าชายแดนและผ่านแดนไทย-กัมพูชา ที่ปกติจะมีมูลค่าเฉลี่ยปีละราว 180,000–220,000 ล้านบาท สะท้อนผลกระทบโดยตรงจากมาตรการควบคุมพื้นที่ การเดินทางของแรงงานข้ามแดนที่ลดลง และความล่าช้าในโลจิสติกส์ที่เริ่มสะสมเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
แรงสั่นสะเทือนยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐ อเมริกา โดยสำนักงาน ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศระงับการเจรจาการค้ากับไทย-สหรัฐชั่วคราว หลังปิดดีลภาษีที่ 19% แต่ยังต้องเจรจาในรายละเอียดของความตกลง โดยทางยูเอสทีอาร์ระบุจะกลับมาเจรจาอีกครั้งเมื่อไทยรับปากจะปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมสันติภาพ (Joint Declaration)
ก่อนหน้านี้ไทยเพิ่งบรรลุข้อตกลงภาษีกับสหรัฐ (Reciprocal Tariff) ที่ระดับ 19% ซึ่งเป็นดีลเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐในฐานการผลิตไทย การตัดสินใจครั้งนี้ส่วนหนึ่งสะท้อนว่า วอชิงตันกำลังจับตาเสถียรภาพภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอย่างใกล้ชิด และอาจมองว่าความตึงเครียดชายแดนอาจบั่นทอนห่วงโซ่อุปทานที่บริษัทอเมริกันกระจายการผลิตระหว่างไทย–กัมพูชา
รอยร้าวด้านเศรษฐกิจเริ่มปะทุชัดเจน โครงการลงทุนของไทยในกัมพูชา โดยเฉพาะในด้าน พลังงาน การก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท กำลังเผชิญความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ขณะเดียวกัน การผลิตอุตสาหกรรมบางกลุ่มเช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และอาหารแปรรูป ซึ่งใช้สองประเทศเป็นฐานผลิตเชื่อมต่อกัน เริ่มได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของวัตถุดิบ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อการส่งออกไปตลาดยุโรป-สหรัฐ ที่ต้องพึ่งระบบโลจิสติกส์ต่อเนื่อง
ในด้านการทูต ความแข็งกร้าวที่เพิ่มขึ้นทำให้ช่องทางหารือทวิภาคีหลายกลไกหยุดชะงัก และการหยุดเจรจาของสหรัฐ กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น เป็นปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจเลือกไทยแทนคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนามหรือมาเลเซีย อุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่ยาว เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอาหาร ส่งสัญญาณความกังวลต่อความเสี่ยงในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
เมื่อมองไปข้างหน้า สามารถจำลองได้ 3 ฉากทัศน์หลัก
ฉากทัศน์แรกคือการคลี่คลายผ่านการทูต โดยยอมรับกลไกไกล่เกลี่ยจากอาเซียนหรือประเทศตัวกลาง ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะจำกัดในระยะสั้น และความเชื่อมั่นต่างชาติ รวมถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐ มีโอกาสฟื้นตัว
ฉากทัศน์ที่สอง คือ ความขัดแย้งยืดเยื้อระดับ “Low-intensity Conflict” หรือความขัดแย้งความรุนแรงต่ำ ทำให้การค้าชายแดนยังไม่ฟื้น การลงทุนใหม่ชะลอ และนักลงทุนต่างชาติเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังเวียดนาม ผลลัพธ์คือการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศจะอ่อนแรงลงต่อเนื่อง
ฉากทัศน์ที่สาม และรุนแรงที่สุดคือ การที่มหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเปิดหน้า ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานมูลค่าหลายแสนล้านบาทระหว่างไทย-กัมพูชาถูกกระทบหนัก การลงทุนไหลออก และไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นทันที
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง ไทยจำเป็นต้องเดินเกมเชิงรุก ใช้การทูตหลายชั้น ทั้งผู้นำ หน่วยความมั่นคง และคณะกรรมการชายแดน เพื่อป้องกันการบานปลาย ควบคู่กับการสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติว่าห่วงโซ่อุปทานยังเดินต่อได้ นอกจากนี้ ไทยต้องเร่งกระจายเส้นทางโลจิสติกส์ผ่านลาวและเวียดนาม เพื่อลดการพึ่งพาชายแดนด้านเดียว รวมถึงขับเคลื่อนอาเซียนให้แสดงบทบาทรักษาเสถียรภาพภูมิภาค พร้อมจัดทำมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น กองทุนช่วยผู้ประกอบการชายแดน และระบบเตือนภัยเศรษฐกิจด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น
บทสรุป วิกฤตครั้งนี้จะเป็นคือบททดสอบความสามารถของไทยในการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ หากบริหารได้อย่างมียุทธศาสตร์ ประเทศไทยจะยังคงสถานะ ศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน แต่หากยืดเยื้อ ไทยอาจต้องแบกรับ ต้นทุนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่สูงกว่าที่คาดการณ์ในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้