KEY
POINTS
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)เร่งผลักดันโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายใหม่ เชื่อมโครงข่ายการเดินทาง รับปริมาณรถจากในเมืองออกสู่นอกเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาปริมาณรถยนต์จากถนนปกติ ช่วยให้การจราจรโดยรวมคล่องตัวขึ้น ตลอดจนเกิดการขยายตัวของเมืองไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ตามนโยบายรัฐบาล
ในขณะที่มาตรการลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใช้ทางเพื่อจูงใจให้เข้าใช้ทางมองว่าเป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องหารือร่วมกันหลายฝ่ายโดยเฉพาะภาคเอกชนผู้รับสัมปทาน
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับแพ็คเกจลดค่าครองชีพโดยหนึ่งในนั้นมีการลดค่าทางด่วนนั้น เบื้องต้นของหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก่อนว่าจะใช้แนวทางใดและใช้อัตราค่าผ่านทางเท่าไร คาดว่าจะหารือได้ภายใน 1 สัปดาห์
“การลดค่าทางด่วนคาดว่าจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกทพ.ลดลง ส่วนรายได้จะลดลงเท่าไรคงต้องรอดูอีกที” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ส่วนประเด็นที่จะมีการลดค่าทางด่วนแลกกับการให้เอกชนผู้รับสัมปทานก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (งามวงศ์วาน-พระราม 9) หรือ Double Deck เพื่อแก้ปัญหาจราจรบนโครงข่ายทางด่วนนั้น
ที่ผ่านมากทพ.ได้มีการเจราจากับ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ให้เป็นผู้ลงทุน แลกกับการขยายระยะเวลาสัมปทานระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ออกไป 22 ปี 5 เดือน ที่จะสิ้นสุดปี 2578
ตามขั้นตอนจะต้องมีการแก้สัญญาให้แก่เอกชนเพื่อแลกกับการก่อสร้างโครงการ Double Deck ซึ่งกทพ.จะต้องชดเชยรายได้ให้แก่เอกชน โดยจะนำเข้าครม.พิจารณาเห็นชอบด้วย
แหล่งข่าวจากกทพ. เสริมว่า มาตรการลดค่าครองชีพของกระทรวงคมนาคมที่มีนโยบายจะลดค่าผ่านทางบนทางพิเศษ (ทางด่วน) นั้น ขณะนี้กทพ.อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดคุยรายละเอียดกันภายในสัปดาห์นี้ โดยแลกสัมปทาน
“ในช่วงที่ผ่านมาเคยมีแนวทางที่เคยมีการพูดถึงเรื่องการลดค่าทางด่วนเหลือ 50 บาทตลอดสาย ทั้งนี้ต้องพิจารณาดูอีกครั้งว่ายังคงเป็นอัตรานี้หรือไม่ คาดว่าหากมีการลดค่าผ่านทางอาจกระทบต่อรายได้กทพ.ลดลง ซึ่งจะต้องรอประเมินตัวเลขอีกครั้ง” แหล่งข่าวจากกทพ. กล่าว
ส่วนประเด็นที่เอกชนผู้รับสัมปทานมีการพูดถึงมาตรการลดค่าทางด่วน 50 บาทตลอดสาย จากเดิมที่มีการเก็บค่าผ่านทางอยู่ที่ 90 บาท ซึ่งสอดรับกับมาตรการลดค่าครองชีพของกระทรวงคมนาคม โดยยกเลิกด่านเก็บค่าผ่านทางบนทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 2 จุด ประกอบด้วย ด่านอโศก (ขาออก) และด่านประชาชื่น (ขาออก) เพื่อให้การเก็บค่าผ่านทางเป็นแบบเหมาจ่ายตั้งแต่ด่านขาเข้า ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดิมที่เคยมีการนำเสนอและเจรจาไว้
อย่างไรก็ดีจากปัจจุบันมีผู้ใช้ทางด่วน 8 สายทาง ประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน ในจำนวนนี้ถือบัตร Easy Pass ประมาณ 2 ล้านใบและในจำนวนนี้ใช้งานจริงประมาณ 1 ล้านใบ นอกเหนือจากการยกเว้นค่าผ่านทางในช่วงเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์ รวมถึงการโปรโมชั่นอื่นๆยังไม่สามารถดึงดูดคนมาใช้บริการได้เท่าที่ควร
แหล่งข่าวจากกทพ.กล่าวต่อว่า ในระหว่างนี้กทพ.มีมาตรการจูงใจให้คนมาใช้บริการบนทางด่วนมากขึ้น โดยเป็นมาตรการลดค่าทางด่วน 50%
สำหรับผู้ใช้บัตร Easy Pass เพื่อชำระค่าผ่านทางพิเศษ(ด่วน) ทุกด่าน ทุกสายทาง เพื่อกระตุ้นยอดผู้ใช้บัตรอีซี่พาสและจูงใจให้ประชาชนผู้ใช้ทางหันมาใช้บัตรอีซี่พาสในการชำระค่าผ่านทางแทนเงินสดมากขึ้น และแก้ปัญหาจราจรหน้าด่าน
ทั้งนี้มาตรการลดค่าทางด่วน 50% สำหรับผู้ใช้บัตร Easy Pass ปัจจุบันอยู่ระหว่างคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. พิจารณา
ตามแผนจะมีการทดลองใช้ในช่วงปลายปีนี้สำหรับการลดค่าผ่านทาง 50% ในวันพิเศษ เช่น วันเกิดของผู้ถือบัตร หรือวันครบรอบ กทพ.
สำหรับโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 หรือ Double Deck ระยะทาง 20.09 กม. วงเงิน 34,800 ล้านบาท
ปัจจุบันโครงการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยกทพ.มีการเสนอมาแล้วกว่า 2-3 เดือน
“ไทม์ไลน์การก่อสร้างโครงการทางด่วน Double Deck ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด เนื่องจากขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ด PPP ซึ่งตามกระบวนการหากบอร์ด PPP เห็นชอบจะเข้าสู่ขั้นตอนการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาและลงนามสัญญากับเอกชนผู้รับสัมปทานต่อไป” แหล่งข่าวจากกทพ. กล่าว
ฟากแหล่งข่าวจากบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ BEM กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจทางด่วนยังคงมีความมั่นคง พบว่า ปริมาณจราจรเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 ล้านคันต่อวัน ณ เดือนสิงหาคม 2568 คาดว่าจะทรงตัวในปี 2569-2570
ขณะที่โครงการสำคัญคือ การขยายทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ระยะทาง 20.09 กม. วงเงิน 34,800 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาคอขวดบนทางด่วน ซึ่งภาครัฐได้ยื่นข้อเสนอให้ BEM เป็นผู้ลงทุนโครงการ โดยแลกกับการขยายสัมปทาน 22 ปี 5 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2578 ไปสิ้นสุดปี 2600 นั้น
แหล่งข่าวจาก BEM กล่าวต่อว่า ถึงแม้ ครม. ชุดเดิมจะยังไม่ได้อนุมัติลงทุนทางด่วน Double Deck แต่เมื่อมี ครม. ชุดใหม่
โดยมีพรรคภูมิใจไทยมาดูแลกระทรวงคมนาคม ซึ่งรอบที่แล้วเคยเห็นด้วย คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสานต่อโครงการ เนื่องจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงมากและข้อตกลงที่เจรจาไว้เป็นประโยชน์ต่อรัฐ
ส่วนประเด็นที่รัฐบาลมีแนวคิดจะเก็บค่าทางด่วน 50 บาทตลอดทางนั้น BEM มองว่าจะไม่กระทบต่อบริษัท เนื่องจากบริษัทยังคงได้รับจำนวนเงินคงเดิม เนื่องจากการลดค่าผ่านทางเช่นนี้ก็ถือเป็นการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมหาศาล เช่นกัน
ทั้งนี้ภาครัฐได้ให้เอกชนมีผลตอบแทนที่พออยู่ได้ BEM ยังมองว่าแม้โครงการทางด่วน Double Deck จะมีความล่าช้า แต่ไม่กระทบกับบริษัทมากนัก เพราะเชื่อว่าไม่มีผู้ประกอบการรายอื่นจะเข้ามาดำเนินการได้นอกเหนือจาก BEM ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานเดิม
ปัจจุบันบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้รับสัมปทานบนทางพิเศษ 3 สายทาง ประกอบด้วย
1.ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) สิ้นสุดสัญญา 31 ตุลาคม 2578 (ส่วน AB, C, D)
2.ทางพิเศษประจิมรัถยา (ทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร) สิ้นสุดสัญญา 14 ธันวาคม 2585 และ 3.ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) สิ้นสุดสัญญา 31 ตุลาคม 2578
สำหรับภาพรวมของกทพ.ที่เปิดให้บริการทางพิเศษ (ทางด่วน) จำนวน 8 เส้นทาง รวมระยะทาง 224.6 กิโลเมตร
ปัจจุบันกทพ.มีแผนลงทุนโครงการทางด่วนและพื้นที่เชิงพาณิชย์หลายแห่งภายในปี 2568-2569 รวม 10 โครงการ วงเงินรวม 294,821 ล้านบาท ไม่รวมโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (งามวงศ์วาน-พระราม 9) หรือ Double Deck
โดยโครงการสำคัญเร่งด่วน ได้แก่ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. วงเงิน 16,757 ล้านบาท
ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ กทพ. ดำเนินโครงการเมื่อ 26 สิงหาคม 2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกทพ.รอประกาศเชิญชวนหาเอกชนผู้รับจ้าง (ทีโออาร์) เพื่อก่อสร้างโครงการภายในเดือนธันวาคมนี้
คาดว่าจะได้ตัวผู้ชนะการประมูลภายในเดือนมกราคม 2569 ตามแผนจะเริ่มการก่อสร้างภายในปี 2569 ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี
ก่อนเปิดให้บริการภายในปี 2572 โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ ระยะทาง 30.62 กม. วงเงิน 46,752 ล้านบาทเป็นต้น