KEY
POINTS
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (ECONTHAI) เปิดเผยสถานการณ์การจ้างงาน ในปี 2569 ว่า ในปีหน้า นายจ้างส่วนใหญ่ยังคงเกาะติดและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพราะยังมีปัจจัยเสียงหลายอย่าง ทำให้ธุรกิจหลายอย่างยังคงระมัดระวัง เรื่องของการปรับขึ้นเงินเดือน และการพิจารณาจ่ายโบนัสพนักงาน เพื่อไม่ให้กระทบกับฐานะทางการเงินบริษัท
นายธนิต กล่าวว่า ในส่วนของแนวโน้มการปรับขึ้นเงินเดือนและโบนัสในปี 2569 บริษัทส่วนใหญ่จะให้โบนัสตามข้อตกลงหรือข้อบังคับที่มีกับลูกจ้าง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยรุ่งเรืองและมีข้อตกลงโบนัสผูกไว้ในข้อบังคับบริษัท แม้ตอนนี้สถานการณ์จะไม่ดีก็ต้องจ่ายตามสัญญา ในขณะที่รัฐวิสาหกิจก็ได้โบนัสปกติ เฉลี่ย 3 เดือน หรือในธุรกิจพลังงานและน้ำมัน อาจได้โบนัสประมาณ 5-6 เดือน
ส่วนภาคเอกชนทั่วไป ส่วนตัวมองว่า การจ่ายโบนัสคงใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.5 เดือน ถึงสูงสุดไม่เกิน 2 เดือน แต่บางแห่งที่ขาดทุนอาจจะไม่ให้โบนัส เพราะนายจ้างต้องการเก็บสภาพคล่องไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษี 19%
ขณะเดียวกันด้านการบริโภคในประเทศปีนี้โตแค่ 1.7% และปีหน้าอาจจะต่ำกว่าเดิม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นายจ้างจะขึ้นเงินเดือนแบบระมัดระวัง เพื่อรักษาการจ้างงานไว้ แต่จะไม่หวือหวา จะใช้วิธีเลือกขึ้นให้เฉพาะบางตำแหน่งที่สำคัญ หรือคนที่มีความสามารถ เช่น ฝ่ายขาย โดยการขึ้นเงินเดือนทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ไม่เกิน 5%
นายธนิต กล่าวว่า ปีหน้านายจ้างจะเน้น 3 เรื่อง นั่นคือ 1. ระวังความไม่แน่นอน 2. เก็บสภาพคล่อง และ 3. การหมุนเวียนงานต่ำ เพราะลูกจ้างไม่ค่อยเปลี่ยนงานเนื่องจากเข้าใจสถานการณ์ว่าทุกที่ก็ลำบากเหมือนกัน การมีงานทำจึงดีกว่าตกงาน
"สถานการณ์ของนายจ้างปีหน้า มีทั้งที่ไปได้และไม่ดี อุตสาหกรรมที่น่าเหลือเชื่อคืออุตสาหกรรมไก่รายใหญ่ปีนี้กำไรดีทั้งส่งออกและขายในประเทศ หรือโรงงานที่ทำส่วนผสมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็กำไรดี อาจเป็นเพราะคนไม่มีสตางค์ สินค้าบางประเภทที่ราคาถูกสำหรับคนรายได้น้อยเลยขายดี” นายธนิต ระบุ
ส่วนภาพรวมตลาดแรงงานปี 2569 นายธนิต ประเมินว่า ภาพรวมตลาดแรงงานจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยน่าจะทรงตัวหรือไม่ได้ดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยกระทบทั้งสถานการณ์การประทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้การค้ากับกัมพูชาผ่านชายแดนก็หายไปถึง 150,000 ล้านบาท ส่วนการท่องเที่ยวก็ไม่ขยายตัวตามที่คาดไว้ เพราะเศรษฐกิจโลกและปัญหาความเชื่อมั่นจากสงคราม
อย่างไรก็ดีภาคที่ยังช่วยขับเคลื่อนอยู่คือการส่งออก แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการอ่อนตัวลง เพราะคำสั่งซื้อจากอเมริกาเริ่มลดลง หลังจากที่มีการสั่งไปตุนไว้ในสต็อกก่อนหน้านี้ รวมทั้งช่วงนี้อาจเป็นช่วงคริสต์มาสเซลล์แต่สินค้าส่งไปถึงก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าจะส่งผลกระทบมาหแค่ไหนในปีหน้า