KEY
POINTS
ธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อที่ลดลง รวมไปถึงต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวสู่ทายาทรุ่นต่อไป จำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อประคองการเติบโตและความอยู่รอดในระยะยาว
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าจับตา คือ ร้านอาหาร “ลูกไก่ทอง” ซึ่งปัจจุบันบริหารโดย นายแสงณรงค์ มนตรีวัต ทายาทรุ่นที่ 2 ร่วมกับนางสาวกาญจนา ทัตติยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาญณรงค์ กรุ๊ป จำกัด โดยบริษัทเลือกเดินเกมเชิงรุก ทั้งด้านการตลาด การพัฒนาเมนู และการขยายสาขา เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ผันผวน
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ถึงแผนธุรกิจนับจากนี้ “แสงณรงค์” เล่าให้ฟังว่า บริษัทดำเนินธุรกิจมากกว่า 16 ปี ปัจจุบันมี 2 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ ลูกไก่ทองเป็นแบรนด์หลัก และ ปังชา โดยแผนธุรกิจช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงปีหน้า จะเน้นกระตุ้นกำลังซื้อผ่านแคมเปญและโปรโมชั่นตามเทศกาล ควบคู่กับการพัฒนาเมนูใหม่เพื่อดึงลูกค้ากลับมาใช้บริการ
หนึ่งในไฮไลต์คือเมนูพิเศษ “ปังชาคริสต์มาส” ที่ออกแบบทั้งรสชาติและภาพลักษณ์ให้สอดรับกับบรรยากาศปลายปี โดยตั้งเป้าใช้เมนู Seasonal เป็นตัวเร่งยอดขายช่วงไฮซีซัน คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ปลายปีราว 30–40%
ขณะเดียวกัน แบรนด์ลูกไก่ทองได้เพิ่มโปรโมชั่นเซ็ตอาหารสำหรับการจัดเลี้ยงและกลุ่มสังสรรค์ เพื่อกระตุ้นการจองโต๊ะในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการรับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งปรับพอร์ตเมนูด้วยการเพิ่มอาหารจานเดี่ยวมากขึ้น หลังพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลของลูกค้าลดลงราว 20% จากผลกระทบค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
“เมนูจานเดี่ยวที่พัฒนาขึ้น เน้นความรวดเร็ว รับประทานง่าย และตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายต่อมื้อ แต่ยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพอาหารไว้ควบคู่กัน”
ด้านการบริหารต้นทุน บริษัทเลือกใช้แนวทาง “คุมเข้ม แต่ไม่ลดคุณภาพ” โดยให้ความสำคัญกับการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการคัดเลือกวัตถุดิบ การบริหารสต๊อก และการลดของเสียในกระบวนการผลิต แม้ต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แต่บริษัทยืนยันไม่ลดคุณภาพสินค้า โดยยึดหลัก “เสียของไม่ยอมเสียแขก” หากวัตถุดิบไม่ได้มาตรฐานจะตัดทิ้งทันที เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าในระยะยาว
ปัจจุบันร้านลูกไก่ทองมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยราว 60–70% และชาวต่างชาติ 30–40% ซึ่งแตกต่างกันตามทำเล เช่น สาขาไอคอนสยามและสยามพารากอน มีลูกค้าไทยและต่างชาติในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ขณะที่สาขาสุวรรณภูมิ ลูกค้าต่างชาติสูงถึงประมาณ 70%
ด้านนางสาวกาญจนา กล่าวว่า ในระยะยาวบริษัทวางกลยุทธ์รักษามาตรฐานคุณภาพอาหารและการบริการเป็นหัวใจหลัก ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าและการเปิดตลาดใหม่ โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายสาขาไปต่างประเทศ เน้นตลาดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 3–5 ปีข้างหน้า
ส่วนการตลาดบริษัทปรับการสื่อสารมาเน้นโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทั้ง TikTok, Facebook และ Instagram เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ผ่านการเล่าเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว
สำหรับผลประกอบการของ บริษัท กาญณรงค์ กรุ๊ป จำกัด จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 289.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 29.7 ล้านบาท ปี 2566 มีรายได้ 522.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 25.3 ล้านบาท ปี 2567 มีรายได้ 583.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท โดยปี 2568 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10–15%
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568