‘เอกชน’ ชี้รัฐส่งสัญญาณปรับขึ้น VAT หวั่นเศรษฐกิจซบ-ขาดเงินลงทุนใหม่

20 พ.ย. 2568 | 06:20 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ย. 2568 | 06:34 น.

ภาคเอกชน วิเคราะห์แผนพิจารณาปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล จาก 7% เป็น 8.5% คือขั้นเตรียมการพยุงรายได้ของประเทศ ส่งสัญญาณรายได้ไม่เข้าเป้า หวั่นเศรษฐกิจซบ-ขาดเงินลงทุนใหม่

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนมองว่าการส่งสัญญาณเตรียมขึ้นภาษี VAT สะท้อนความกังวลของรัฐบาลต่อรายได้ของประเทศในอนาคตที่อาจไม่เพียงพอ
  • หวั่นว่าหากเศรษฐกิจยังคงซบเซาและไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาขับเคลื่อน GDP รัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการขึ้นภาษีจริง
  • การปรับขึ้นภาษี VAT ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจะยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจชะลอตัวและกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนใหม่

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในกรณีแผนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาลแบบขั้นบันไดโดยจะเพิ่มเป็น 8.5% ในปี 2571 และปรับขึ้นจนถึง 10% ในปี 2573 คือการส่งสัญญาณเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ บ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับรายได้ของประเทศ ทั้งจากดุลการค้า การลงทุน และรายได้โดยรวม ที่อาจไม่เพียงพอเมื่อมองไปในอนาคต

เรื่องนี้เคยถูกพูดถึงและมีแนวทางกำหนดไว้แล้วว่าการเก็บ VAT จะอยู่ที่ 10% แต่ก็ได้รับการลดหย่อนเหลือ 7% มานานหลายปีในหลายรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยตรง เพราะ VAT เป็นเครื่องมือที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการหารายได้เข้าประเทศ 

“ในสถานการณ์หากเศรษฐกิจไม่ดี การรอเก็บภาษีรายได้จะคงทำได้ยาก แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เป็นสิ่งที่ต้องเก็บกับทุกคนเมื่อซื้อสินค้าและบริการ กลยุทธ์ "ขั้นบันได" ที่จะค่อยๆ ปรับเพิ่มในแต่ละปีคือการเลี่ยงแรงกระแทก เพราะหากปรับขึ้นทีเดียว 10% จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งประเทศ”

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ก่อให้เกิดแรงกดดันทางการเมือง ดังนั้น การประกาศล่วงหน้าและดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ถือเป็นกลยุทธ์ "โยนหินถามทาง" เพื่อดูปฏิกิริยาและฟีดแบ็กจากทุกภาคส่วน หากเศรษฐกิจในอนาคตมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและตัวเลขการเติบโตบรรลุเป้าหมาย เรื่องการปรับขึ้นภาษีก็อาจได้รับการ "ยกเว้น" หรือขยายเวลาผ่อนผันออกไปได้
 

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า รัฐบาลคงเตรียมการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าในขั้นเตรียมการรับมือ หากเศรษฐกิจยังคงซบเซา เพราะดูจากบริบทเศรษฐกิจปี 2568 เรียกว่าเป็นปีแห่ง "ความไม่แน่นอน" แม้ว่าการเบิกจ่ายของภาครัฐจะทำได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมทางเศรษฐกิจยังคงต้องพึ่งพาตัวเลขจากภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ๆ เพื่อดัน GDP ให้เติบโตขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในประเทศ และหากในอนาคตยังไม่สามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ หรือการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มตัวเลข GDP ได้ การใช้มาตรการทางภาษีคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้