ชงรัฐ 'ปฏิรูปภาษีที่ดิน-ขึ้น Vat-ยกเลิกไวน์ 0%' แก้ขาดดุล-ลดเหลื่อมล้ำ

02 ต.ค. 2568 | 09:27 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 09:47 น.

การคลังไทยเสี่ยงหนัก 'นักเศรษฐศาสตร์' แนะเลิกเอื้อคนรวย เสนอให้ปฏิรูปภาษีอสังหาฯ จริงจัง ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มลดความเหลื่อมล้ำ-ยกเลิกการเก็บภาษีไวน์ 0% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงบฯ

KEY

POINTS

  • เสนอให้ยกเลิกมาตรการภาษีนำเข้าไวน์ 0% เนื่องจากทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาลและเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
  • เรียกร้องให้มีการปฏิรูปภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราก้าวหน้า เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินและเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐ
  • ควรพิจารณาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายหลังการปฏิรูปภาษีที่ดินแล้ว โดยอาจกำหนดอัตราที่แตกต่างกันระหว่างสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าจำเป็น

รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" วิเคราะห์นโยบายรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาโดยระบุว่า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีการใช้งบประมาณเกินตัวมาอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มีความไม่สมดุลระหว่างการใช้จ่าย และการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เรียกทางวิชาการว่า การขาดดุลงบประมาณ 

นอกจากนี้ การใช้เงินนอกงบประมาณผ่านรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐตลอดมา ส่งผลให้หนี้สาธารณะ ซึ่งก็คือหนี้ของประเทศสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% ของ GDP 

แม้นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีข้อดีในแง่มุ่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ก็ทำให้เกิดจุดอ่อนทางการคลังดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อบรรเทาการขาดดุลงบประมาณ รัฐบาลชุดนี้ควรยกเลิกมาตรการที่ริเริ่มโดยรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ

ซึ่งได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าไวน์จากเดิมอยู่ที่ 54-60% มาเป็น 0% นับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพราะมาตรการนี้นอกจากจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมหาศาลแล้ว ยังเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงให้กับผู้ผลิตและผู้นำเข้าไวน์นอก รวมถึงผู้ดื่มไวน์ระดับไฮเอนด์ อีกทั้งก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ประการต่อมา ผลการศึกษาของสภาพัฒน์ที่เผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในระดับรุนแรง กลุ่มคนที่รวยที่สุด 1% แรกในประเทศไทย มีสัดส่วนมูลค่าการถือครองที่ดินสูงถึง 34.91% ของมูลค่าโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศ

หากพิจารณาจากขนาดของที่ดิน กลุ่มที่ถือครองมากที่ดินมากที่สุด (Decile 10) มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินสูงกว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินน้อยที่สุด (Decile1) ถึง 710 เท่า  การขาดที่ดินในการทำกินส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้

ดังนั้น มาตรการด้านภาษีที่รัฐสมควรผลักดันเป็นลำดับแรก คือ การปฏิรูปภาษีอสังหาริมทรัพย์ในอัตราก้าวหน้าอย่างจริงจัง เพราะในทางทฤษฎี ภาษีอสังหาริมทรัพย์จัดเป็น perfect tax คือ มีคุณสมบัติในการสร้างรายได้ให้รัฐ ลดการขาดดุลงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นภาษีที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำ และมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับภาษีประเภทอื่น ๆ ซึ่งหากปฏิรูปสำเร็จ รัฐสามารถลดการจัดเก็บภาษีประเภทอื่นลงได้ 

ดร.ชิดตะวัน กล่าวอีกว่า สำหรับแนวคิดการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ที่รัฐบาลชุดก่อนพยายามผลักดันนั้น มองว่า ควรทำภายหลังการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหากรัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยังมิได้มีการปฏิรูปภาษีอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง ประชาชนคงมีคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลจึงเกรงใจกลุ่มคนรวย ซึ่งรวมถึงนักการเมืองที่ครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องเสียประโยชน์จากการปฏิรูปภาษีอสังหาริมทรัพย์ในขณะที่เพิ่มการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้แก่ คนจน ชนชั้นกลาง ได้รับผลกระทบ

"โดยประเทศไทยควรเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ในลักษณะที่จะลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ เช่น ตั้งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตรา 15% ในขณะที่อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าจำเป็นที่ 8% เป็นต้น" อาจารย์ชิดตะวัน กล่าว 

สำคัญที่สุด เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิผล รัฐต้องลดการใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดภาระการคลัง ซึ่งส่วนที่สามารถดำเนินการแก้กฎหมายได้เลย ไม่ต้องเกรงว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบ คือ การลดเงินเดือนคณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ลดเบี้ยประชุมกรรมาธิการและคณะกรรมการอื่น ๆ ที่ปัจจุบันได้รับเงินหลายทางในระดับที่สูง รวมถึงเร่งปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รั่วไหลเข้ากระเป๋านักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ

"นอกจากนี้ รัฐบาลสมควรยกเลิก 7 โครงการความช่วยเหลือกัมพูชาที่รัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เคยตกลงกับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย" ดร.ชิดตะวัน กล่าวทิ้งท้าย