KEY
POINTS
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยยื่นข้อเสนอ “7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” ต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีในการประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (18 ก.ย. 2568) โดยเน้นให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเร่งด่วนภายใน 4 เดือน และมาตรการระยะกลาง 8 เดือน โดยหนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือการให้เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) และอากรขาออกให้เสร็จภายใน 7-14 วัน เพื่อลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการในยุคการแข่งขันสูง และสภาพคล่องผู้ส่งออกลดลง
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงที่มาของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT/แวต) ของรัฐบาล โดยกรมสรรพากรว่า ปกติแล้วการส่งออกสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยจะได้รับการยกเว้นภาษีแวต แต่ในทางปฏิบัติผู้ผลิตที่ไม่ได้ส่งออกโดยตรง เช่น เจ้าของแบรนด์ที่ว่าจ้างโรงงานผลิตแบบ OEM หรือแม้แต่ผู้ส่งออกเองที่ต้องซื้อบรรจุภัณฑ์หรือวัตถุดิบจากผู้ขายในประเทศ ต่างต้องจ่ายแวตให้ซัพพลายเออร์ก่อนแล้วค่อยไปขอคืนภาษีในภายหลัง
“สินค้าสำเร็จรูปที่ส่งออกได้รับการยกเว้นแวต แต่ขั้นตอนการซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตหรือประกอบต้องเสียแวตก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควบคุมไม่ได้ จึงอยากให้ภาครัฐดูแลภาพรวมระบบนิเวศให้ครบถ้วน” นายวิศิษฐ์กล่าว พร้อมระบุว่า
การคืนภาษีที่เร็วขึ้นไม่สามารถทำได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ เพราะต้องผูกโยงกับระบบดิจิทัล และการจัดกลุ่มผู้ประกอบการชั้นดีหรือกลุ่มที่น่าสงสัยเพื่อคัดกรอง ซึ่งผู้ประกอบการก็มีความเข้าใจถึงปัญหาในความล่าช้า
นายวิศิษฐ์ ขยายความเพิ่มเติมว่า ในการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้น ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ ส่วนผสม และชิ้นส่วนจากในประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ซัพพลายเออร์ในราคาที่มีแวตไปก่อน จากนั้นจึงนำมาหักภาษีซื้อภาษีขายและขอคืนจากกรมสรรพากร ปัญหาคือกระบวนการคืนแวตยังขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะช่วงที่มีการขอคืนจำนวนมาก ยิ่งทำให้ติดขัด เพราะระบบยังใช้คนจำนวนมากในการตรวจสอบ
สิ่งที่หอการค้าไทยอยากเห็นในอนาคตคือการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยลดการใช้คน ตรวจสอบประวัติผู้ขอคืนภาษีได้อย่างรวดเร็ว รู้ได้ว่ามีประวัติโกงภาษีหรือไม่ ทำให้คัดกรองผู้ประกอบการที่ดีได้ง่ายขึ้นและคืน VAT ได้เร็วขึ้น
ในส่วนของการขอคืนอากรขาออก นายวิศิษฐ์ระบุว่าเป็นไปตามมาตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (ฉบับแก้ไข) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่นำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และสินค้าต่าง ๆ ไปผลิตเพื่อส่งออกสามารถขอคืนอากรศุลกากรได้ แม้จะยังไม่ทราบมูลค่าที่ชัดเจนของ VAT และอากรขาออกที่จัดเก็บโดยกรมสรรพากรและกรมศุลกากร แต่คาดว่าจะมีจำนวนไม่น้อย และหากภาครัฐสามารถคืนภาษีได้เร็วขึ้น จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและทุนหมุนเวียนให้ภาคธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้ความเห็นว่า การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ในภาคธุรกิจส่งออก แม้จะสามารถขอคืนภาษีภายหลังได้ แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนและความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากโดยปกติผู้ส่งออกต้องซื้อวัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ฝ้าย เส้นใย กล่อง หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ พร้อมเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ขาย แม้กฎหมายจะกำหนดอัตราแวตสำหรับผู้ส่งออกไว้ที่ 0% และเปิดให้ยื่นขอคืนได้ แต่หากกระบวนการคืนภาษีล่าช้า ก็จะทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้นทันที
นอกจากนี้ ปัญหาการคืนภาษีล่าช้ายังทำให้เงินทุนของผู้ประกอบการติดค้างอยู่กับรัฐ ส่งผลให้ศักยภาพในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง เงินที่ควรจะหมุนกลับไปใช้ในธุรกิจต้องจมอยู่กับกรมสรรพากรแทน ภาครัฐจึงควรเร่งหามาตรการคืนภาษีให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีประวัติการยื่นเอกสารถูกต้องและโปร่งใส ควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตจากการยื่นเอกสารหรือหลักฐานเท็จ
อย่างไรก็ดี หากมองอีกด้านหนึ่ง การยื่นขอคืนแวตยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยภาครัฐตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสวมสิทธิสินค้าจากต่างประเทศที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อส่งออก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า
“ปัจจุบันผู้ส่งออกต้องไปยื่นขอคืนแวตที่กรมสรรพากร ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีภายในประเทศ หากการคืนเงินล่าช้า เงินค้างรวมกันมีมูลค่าสูงและส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งลดศักยภาพการแข่งขันของไทยในฐานะผู้ส่งออก เพิ่มต้นทุนการส่งออก และลดสภาพคล่องทางธุรกิจซึ่งจำเป็นต่อการดำเนินงานต่อไป”
ด้านแหล่งข่าวจากผู้ส่งออกรายใหญ่ กล่าวว่า ในการคืนแวตของกรมสรรพากรแก่ผู้ส่งออก ส่วนใหญ่จะใช้เวลารวบรวมเอกสารหลักฐาน และทำยอดสรุปใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือน แต่ถ้าบางกรณีต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเรื่องของภาษีซื้อก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้น บางครั้งนานเป็นไตรมาส ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมและความถูกต้องของเอกสาร ถ้ามีเอกสารครบถ้วนแล้วก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การได้คืนภาษีจะอยู่ในช่วงประมาณ 60 กว่าวัน ซึ่งต้องดูเป็นกรณีไป
“หากถามว่าเงินคืนแวตมีเท่าไร หากคิดตัวเลขหยาบ ๆ ปี 2567 ไทยส่งออกประมาณ 10 ล้านล้านบาท ต้นทุนนำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออกก็ประมาณครึ่งหนึ่ง หรือ 5 ล้านล้านบาท หากคิดที่คนมีปัญหาคืนแวตครึ่งหนึ่งก็ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ภาษีแวต 7% (เท่ากับ 1.4 แสนล้านบาท) ผมว่าอย่างน้อยต้องมีหลักแสนล้านบาทที่มีการขอคืนแวตจากรัฐบาล” แหล่งข่าวระบุ
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข้อมูลกรมสรรพากรของ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงการจัดเก็บรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มในปีงบประมาณ 2564 ถึง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พบว่ามีการจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2564 เก็บได้ 793,243 ล้านบาท, ปี 2565 เก็บได้ 930,122 ล้านบาท, ปี 2566 เก็บได้ 913,581 ล้านบาท, ปี 2567 เก็บได้ 947,320 ล้านบาท และช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 เก็บได้ 817,825 ล้านบาท
ขณะที่เงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปี 2564 มีจำนวน 269,066 ล้านบาท, ปี 2565 จำนวน 270,428 ล้านบาท, ปี 2566 จำนวน 251,485 ล้านบาท, ปี 2567 จำนวน 219,301 ล้านบาท และช่วง 10 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 มีจำนวน 216,290 ล้านบาท
ส่วนอากรขาออกถอนคืนจากกรมศุลกากร ในปีงบประมาณ 2564 มีจำนวน 7,487 ล้านบาท, ปี 2565 จำนวน 8,339 ล้านบาท, ปี 2566 จำนวน 8,837 ล้านบาท, ปี 2567 จำนวน 9,432 ล้านบาท และในช่วง 10 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 จำนวน 6,905 ล้านบาท
นายอิสระ บุญยัง ประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าในส่วนของภาคก่อสร้างได้เสนอรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายค่า K (ค่า Factor K) ซึ่งเป็นค่าปัจจัยในการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง) ที่ยังคงค้างเป็นจำนวนมาก เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐติดตาม กรณีนักลงทุนต่างชาติบางประเทศ นำวัสดุก่อสร้างพร้อมอุปกรณ์ แรงงานของตนเองเข้ามาใช้ก่อสร้างโรงงานในไทย ส่งผลกระทบต่อภาคผลิตคอนกรีตของไทยที่เสียโอกาส มองว่ารัฐต้องมีมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจังในเรื่องนี้
สอดคล้องกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และกลุ่มผู้รับเหมา เสนอรัฐเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ อาทิ ถนน รถไฟ ท่าเรือ ระบบสาธารูปโภค ภายใน 6-8 เดือน จัดทำโครงการ PPP ขนาดเล็ก-กลางที่สามารถเริ่มประมูลและลงนามได้เร็วเช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โครงการ สมาร์ทซิตี้ เป็นต้น รวมถึงการช่วยเหลือผู้รับเหมาขาดสภาพคล่องจากการทำงานก่อสร้างโดยขอให้สถาบันการเงินผ่อนปรนการจำกัดสินเชื่อภาคก่อสร้าง
ที่สำคัญ ได้เร่งรัดรัฐบาลจ่ายเงินค่าK ที่ค้างจ่ายให้แก่บริษัทรับเหมาประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกรมทางหลวง (ทล.) ที่ค้างจ่ายกว่า 4,200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา การจ่ายเงินจำนวนนี้จะช่วยสภาพคล่องให้ผู้รับเหมาและกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
“สมาคมฯ ต้องการเร่งจ่ายค่าKที่ค้างจ่าย เป็นจำนวนเงินที่หน่วยงานรัฐค้างจ่ายให้ผู้รับเหมาสะสมมานานหลายปีช่วยสภาพคล่องของผู้รับเหมา ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยกรมทางหลวง เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มียอดค้างจ่ายสูงกว่า 4,200 ล้านบาท”
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมีข้อเสนอแนะอื่นๆเพื่อช่วยเหลือภาคก่อสร้าง เช่น การปรับราคากลางให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันการจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) การเร่งรัดการประมูลและเซ็นสัญญางานใหม่และการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างชาติ
ที่สำคัญผลกระทบที่ภาคเอกชนพบมาก ส่วนภาคคอนกรีต เสนอรัฐบาลแก้ปัญหานักลงทุนต่างชาติบางประเทศโดยเฉพาะจีน ใช้วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ ที่ผลิตในไทย เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า มีการนำอุปกรณ์ วัสดุก่อสร้างของตนเองเข้ามาใช้ในไทย ส่งผลกระทบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในไทยและรัฐต้องสูญเสียรายได้
ด้านนางสาวลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เสนอแนวทางการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อครั้งร่วมประชุม คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างและความปลอดภัย ครั้งที่ 13 อาคารรัฐสภาโดยสมาคมฯ ดังนี้
1.กำหนดสูตรการคำนวณ ค่า K ให้สอดคล้องกับโครงสร้างต้นทุนการบริหารงานก่อสร้างสมัยใหม่
2. การกำหนดกรอบการทบทวนค่า K ให้ชัดเจน และกำหนดกรอบเวลาการจ่ายเงินชดเชยที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเอกชนได้รับผลกระทบค่อนข้างมากโดยเฉพาะความล่าช้าในการเบิกจ่ายค่าKและความเข้มงวดการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งมีผลทำให้ขาดสภาพคล่อง