‘เอกนิติ’ ยอมรับเตรียมปรับขึ้น VAT เป็น 8.5% ในปี 71 หากเศรษฐกิจไทยฟื้น

20 พ.ย. 2568 | 04:19 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ย. 2568 | 09:10 น.

‘เอกนิติ’ เผยแผน MTFF ระบุแผนปรับขึ้น VAT เป็น 8.5% ในปี 71 หากเศรษฐกิจไทยโตตามศักยภาพ เตรียมลดรายจ่ายซ้ำซ้อน สร้างวินัยการคลัง

KEY

POINTS

  • รัฐบาลวางแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 8.5% ในปี 2571 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการคลังระยะปานกลาง
  • การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวมีเงื่อนไขสำคัญว่าเศรษฐกิจไทยต้องฟื้นตัวและเติบโตเต็มศักยภาพแล้ว
  • หากเศรษฐกิจยังไม่พร้อมสำหรับการขึ้น VAT รัฐบาลได้เตรียมแผนสำรองไว้ เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่ายภาครัฐ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Fiscal Framework: MTFF) ปี 2569-2573 ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ได้มีการระบุถึงแผนการเพิ่มศักยภาพการคลัง เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยหนึ่งในนั้น เป็นการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่สัดส่วน 7%

สำหรับแผนความยั่งยืนทางการคลัง การปรับขึ้น VAT ถูกกำหนดไว้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในปี 2571 จะปรับขึ้น VAT เป็น 8.5% โดยมีเงื่อนไขว่าช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจไทยจะต้องกลับมาโตเต็มศักยภาพแล้ว  ทั้งนี้ จะปรับเป็นอัตรา VAT 10% ในปี 2573 อย่างไรก็ตาม อัตรา VAT 10% นี้ เป็นเรทปัจจุบันตามกฎหมาย แต่รัฐบาลได้ปรับลดสัดส่วนลง เหลือ 7% 

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับมาเติบโตตามศักยภาพพอที่จะปรับขึ้น VAT เราได้เตรียมแผนอื่นๆ ชดเชย เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่ายภาครัฐ โดยส่วนนี้ระบุชัดเจนในแผนการคลังระยะปานกลาง 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“การปรับขึ้นภาษี VAT ประเทศไทยยังไม่พร้อม สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงยังไม่มีแผนการขึ้น VAT ในปีนี้และปีหน้า และหากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเพียงพอในปี 2571 รัฐบาลก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้ใน MTFF เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่าย”

ทั้งนี้ มติครม. ยังมอบหมายให้กระทรงการคลัง และสำนักงบประมาณ กลับมาจัดทำแผนการลดรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายซ้ำซ้อน เช่น รายจ่ายซ้ำซ้อนจากการให้สวัสดิการ ซึ่งมีหลายที่ อาจจะต้องนำมารวมศูนย์กัน เพื่อจ่ายที่เดียว 

ขณะที่งบลงทุน อาจจะไปใช้ช่องทางอื่นแทนการใช้งบประมาณปกติเท่านั้น แต่จะใช้ผ่านช่องทาง ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)

นายเอกนิติ กล่าวว่า แผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่นี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแสดงความมุ่งมั่นในการลดการขาดดุลการคลัง โดยปัจจุบันการขาดดุลอยู่ที่ 4.4% ของ GDP รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปรับลดลงให้ต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 และในแผน MTFF ประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งการปฏิรูปภาษี การลดรายจ่าย การใช้เงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเน้นการลงทุน และวินัยการคลัง

“การสร้างความเชื่อมั่นต่อฐานะทางการคลังของประเทศยังคงเป็นสิ่งสำคัญ โดยล่าสุด การที่บริษัทเครดิตเรทติ้ง S&P ไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไทย เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นในส่วนนี้”