KEY
POINTS
รัฐบาลเดินหน้าปรับโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะปานกลาง โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการขยับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าลดระดับการขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 ตามกรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ปี 2570 - 2573
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการเตรียมปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยในปี 2571 รัฐบาลตั้งเป้าทยอยเพิ่ม VAT อีก 1.5% จาก 7% เป็น 8.5% และจะขยับอีก 1.5% ในปี 2573 ให้ครบ 10% โดยย้ำว่าจะจัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคเศรษฐกิจควบคู่กัน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกจาก VAT แล้ว แผนการคลังยังระบุการเพิ่มรายได้จากหลายช่องทาง เช่น การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมทบทวนความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางรายการ
ขณะเดียวกันยังได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเบนซินและดีเซลลิตรละ 1 บาทในปี 2570 และการจัดเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท รวมถึงการเพิ่มการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งอีก 5%
รัฐบาลยังเน้นการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ขยายฐานภาษี โดยเชื่อมโยงข้อมูลรายได้ระหว่างหน่วยงานผ่านระบบ Data Lake เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ พร้อมเสริมความเข้มงวดในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินของรัฐ เช่น ที่ราชพัสดุ และการบริหารทรัพย์สินรูปแบบอื่น ๆ
แผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ร่วมกันกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติ เพื่อรองรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ซึ่งต้องการให้กรอบการคลังมีความเข้มงวดขึ้น ทั้งการตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของรายจ่าย และตั้งงบชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 4% พร้อมจำกัดงบผูกพันระหว่างปีไม่เกิน 5%
ในด้านการลงทุน แม้งบประมาณส่วนกลางจะถูกควบคุมเข้มขึ้น รัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันการลงทุนผ่านเครื่องมืออื่น ๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตแห่งประเทศไทย (Thailand Future Fund) และโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยย้ำว่าเป็นช่องทางที่ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ
รัฐบาลยังคงเป้าหมายให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% ของ GDP จากระดับปัจจุบันที่ 14.8% ขณะเดียวกันจะลดรายจ่ายภาครัฐให้เหลือราว 18% ของ GDP จากประมาณ 19% ในปัจจุบัน เพื่อให้โครงสร้างการคลังมีเสถียรภาพมากขึ้นภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน