นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมี ความมั่นคงและเสถียรภาพสูง โดยเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ภาพรวมสินเชื่อยังคงหดตัวในไตรมาส 3 ปี 2568 ก็ตาม
โดยสินเชื่อรวม (รวมเครือ) หดตัว -1.0% จากปีก่อน ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัว ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพียงเล็กน้อย สะท้อนความต้องการสินเชื่อที่ลดลงและการชำระคืนที่เพิ่มขึ้น
ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) โดยรวมยังทรงตัว จากการชะลอลงของหนี้เสียใหม่ (New NPL) ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมขยับขึ้นเป็น 2.94% ส่วนหนึ่งมาจากฐานสินเชื่อที่หดตัว
ขณะที่สินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้นเป็น 7.24% จากการจัดชั้นคุณภาพลูกหนี้รายใหญ่ และการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL บางส่วน สถาบันการเงินยังเดินหน้ามาตรการช่วยลูกหนี้และบริหารจัดการคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด
รายได้ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการหดตัวของสินเชื่อและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ทั้งจากการดำเนินการของธนาคารเองและตามมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ท่ามกลางภาวะการเงินที่ยังตึงตัว เศรษฐกิจชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด
ส่วนความคืบหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งครบกำหนดการลงทะเบียนเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 พบว่า มีลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้ 6.2 แสนล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ประกอบด้วย ลูกหนี้สินเชื่อรถ 3.1 แสนราย สินเชื่อบ้าน 2.5 แสนราย และสินเชื่อ SMEs 1.7 แสนราย ซึ่งช่วยให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สินสำคัญที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและประกอบธุรกิจเอาไว้ได้
รองลงมาเป็นลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” จำนวน 1.6 แสนราย และมาตรการ “จ่าย ตัด ต้น” อีก 5.1 หมื่นราย ซึ่งช่วยลดภาระและทำให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ สถาบันการเงินอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือ โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 6.2 แสนราย คิดเป็น 66% ของลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือทั้งหมด ครอบคลุมยอดหนี้ 4.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 71% ของยอดหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือตามโครงการฯ
“ในระหว่างที่สถาบันการเงินดำเนินการติดต่อลูกหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ขอให้ลูกหนี้รับการติดต่อดังกล่าวเพื่อให้การช่วยเหลือดำเนินการได้จริงและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์”
การเข้าร่วมโครงการทำให้ลูกหนี้ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน ได้แก่
มาตรการยังช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของ NPL ของกลุ่ม SMEs และลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบาง โดยพบว่ามีลูกหนี้ในโครงการที่กลับมาชำระหนี้ปกติสูงถึง ประมาณ 80% ของบัญชีทั้งหมด นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อตลาดรถมือสองจากจำนวนรถยึดที่ลดลง และอัตราผลขาดทุนจากการขายรถยึด (Loss on Sale) ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,150 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568