KEY
POINTS
ยอดเงินฝากรวมของ 11 ธนาคารพาณิชย์ใน 9 เดือนแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นเพียง 0.83% จาก 15.31 ล้านล้านบาท เป็น 15.44 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตน้อย
สาเหตุหลัก จากลูกค้ากลุ่มรีเทลและกองทุน โยกเงินไปพักในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เนื่องมาจากทิศทาง ดอกเบี้ยขาลง เช่น ทองคำ, กองทุน, และหุ้นกู้เอกชน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมองกรอบการเติบโตของเงินรับฝากปี 2568 ไว้ที่ 0.6-1.0% คาดช่วงปลายปีอาจมีเงินฝากไหลกลับมาบ้างจากปัจจัยเชิงฤดูกาลและจ่ายผลตอบแทนประจำปี
ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) 11แห่ง รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2568 พบว่า มียอดคงค้างเงินรับฝากรวม 15.44 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.83% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 15.31 ล้านล้านบาท
นำโดย บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ LHFG มีเงินรับฝาก2.96 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4%จาก 2.48 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้น 16,509.6ล้านบาทหรือ 5.9% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา คิดเป็น 54.0% และเงินฝากออมทรัพย์ คิดเป็น 27.6% ของเงินฝากรวม
รองลงมาคือ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) มีเงินรับฝากรวม 2.78 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 15.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 2.41 แสนล้านบาท
ขณะที่ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เงินรับฝากรวม 1.43แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น14.0% จาก 1.25 แสนล้านบาทเทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 และเพิ่มขึ้น 10,710.4 ล้านบาท หรือ 8.1% จากสิ้นปี 2567
สาเหตุหลักมาจากการเติบโตอย่างมากในผลิตภัณฑ์เงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 6,641.2 หรือ 18.3% และเงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาเพิ่มขึ้น 4,086.3 ล้านบาท หรือ4.3% เนื่องจากการเปิดสาขาเงินรับฝากเพิ่ม
อย่างไรก็ตามมีธนาคารพาณิชย์ 3 แห่งที่มียอดคงค้างเงินฝากลดลง นำโดยธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) หรือ BAY มียอดเงินฝากรวม 1,717.63 ล้านบาท ลดลง 181,983 ล้านบาทหรือ 9.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 1,899.61 ล้านบาท
ตามด้วยธนาคาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ TTB มียอดเงินรับฝากรวม 1,269.93 ล้านบาท ลดลง 26,505 ล้านบาทหรือลดลง 2.0%
และธนาคาร กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK มียอดเงินฝากรวม 2,744.28 ล้านบาท ลดลง 25,842 ล้านบาท หรือ 0.9% จากยอดเงินรับฝากรวม 2,770.12 ล้านบาท
ด้านยอดคงค้างสินเชื่องวด 9 เดือนปี 2568 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) ของธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งรวม 14.41 ล้านล้านบาท ลดลง 0.57% จาก 14.19 ล้านล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ธนาคารที่ยอดคงค้างสินเชื่อปรับเพิ่ม นำโดย LHFG มีเงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีและผลกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่(รวมรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน) จำนวน 3.10 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จาก 2.61 ล้านล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้น 20,683.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ซึ่งสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และรายย่อย
ตามมาด้วย CREDIT มียอดคงค้างสินเชื่อ 1.77 แสนล้านบาทขยายตัว 12.7% จาก 1.57แสนล้านบาทเทียบกับช่วงเดียวกันปี
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองแนวโน้มของเงินรับฝากทั้งปีนี้ยังคงอยู่ในกรอบเดิมที่ประเมินไว้ที่ 0.6-1.0% ขณะที่สินเชื่อยังไม่กลับมาฟื้นตัว ซึ่งอาจจะหดตัวลงจากที่ประเมินไว้ก่อนหน้าว่า จะติดลบที่ระดับ 0.6%
คาดว่า จะมีการทบทวนตัวเลขอีกครั้งในไตรมาส4 ซึ่งนอกจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีแรงกดดันจากการออกหุ้นกู้ภาคเอกชน ซึ่งส่วนหนึ่งเพื่อนำเงินมาชำระคืนหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ดังนั้น มองไปในช่วงสุดท้ายของปีนี้ น่าจะยังเป็นช่วงของการจ่ายผลตอบแทนประจำปี ซึ่งอาจจะเห็นเงินฝากไหลกลับมายังธนาคารบ้างเมื่อเทียบกับไตรมาส3 ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีปัจจัยเชิงฤดูกาลที่จะส่งผลต่อแนวโน้มไตรมาสต่อไตรมาส(QoQ)ที่จะเห็นเงินฝากอาจจะกลับมาฝากเงินกับธนาคารดีขึ้น
สำหรับภาพรวมเงินรับฝาก ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี2568 อยู่ที่ระดับ 16.10 ล้านล้านบาท ลดลง 4.62 หมื่นล้านบาทหรือ 0.29%จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการลดลงของเงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ยอดคงค้างเงินฝากยังขยายตัวที่ 1.46%
ขณะที่ยอดคงค้างเงินรับฝากงวด 9เดือนปีนี้ลดลง 0.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เห็นได้จากโมเมนตัมของเงินรับฝากไตรมาสต่อไตรมาส(QOQ)ชะลอลง 2ไตรมาสคือ ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568
ภาพรวมยอดคงค้างเงินฝากทยอยลดลง 2ไตรมาสแล้ว นำโดยกลุ่มรีเทลและกลุ่มที่เป็น กองทุน ซึ่งเข้าใจว่า น่าจะเป็นการหมุนเงินฝากไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยขาลงด้วย
ขณะที่สินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอาจจะเป็นทองคำ หรือกองทุนต่างๆและหุ้นกู้เอกชนที่กลับมาทยอยออกมากขึ้น ส่วนเงินฝากภาครัฐและหน่วยงานราชการเป็นการเบิกจ่ายเงินตามปัจจัยฤดูกาลเบิกจ่ายของปีงบประมาณ
ในแง่ของแคมเปญเงินฝากพิเศษที่ออกมาใหม่ภาพรวม 9เดือนของปีนี้ มีโปรดักต์ออกใหม่ 181โปรดักต์ ขณะที่เงินรับฝากที่ครบกำหนดมี 180 โปรดักต์ ส่วนใหญ่เป็นแคมเปญระยะสั้นลง และลดอัตราดอกเบี้ยลง(จากโปรดักต์ที่ครบกำหนด) สะท้อนภาพไม่ใช่การแข่งขันระดมเงินฝาก
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,144 วันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568